logo-heading

ปกติเชลซีฤดูกาลนี้เล่นอยู่ 2 แผนหลัก คือแผน 4-2-3-1 แบบเบสิก ไม่มีการสลับตำแหน่งระหว่างเกม และอีกแบบคือให้ฟูลแบ็ก 1 ข้างหุบมาเป็นเซนเตอร์ แล้วให้อีกข้างลอยสูงเหมือนปีก ซึ่งตอนบุกจะกลายเป็นหลัง 3 

เผื่อใครนึกภาพไม่ออก แผนที่บุกแบบหลัง 3 คูคูเรญ่าจะหุบมาเป็น 1 ใน 3 เซนเตอร์ จากนั้นฝั่งขวา มาโล กุสโต้ จะลอยไปเป็นปีกขวาเลย ส่วนคนที่ยืนปีกขวาอยู่ก่อนแล้วอย่าง โคล พาลเมอร์ จะหุบเข้ามาปั้นเกมตรงกลางแทน 

ปัญหาคือนักเตะเชลซีดันเจ็บเยอะ ฟูลแบ็กที่บุกเก่งๆ อย่างเจมส์ก็พักยาว, กุสโต้พักไม่ยาว แต่ก็เจ็บบ่อย มันเลยขาดคนเล่นแบ็กลอยสูงเหมือนปีกไป นอกจากนี้ กลางตัวเชื่อมเกมอย่างเอ็นโซ่ก็ปิดซีซั่น ทำให้ขาด 2 ตำแหน่งสำคัญพร้อมกัน

แรกสุดพอชพยายามแก้ปัญหานี้ ด้วยการให้ กัลลาเกอร์ ยืนกลางคู่กับ ไกเซโด้ ในครึ่งแรกแมตช์เจอวิลล่าเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แต่ปัญหาคือกัลลาเกอร์ไม่ใช่คนแกะเพรสซิ่งเก่ง โดนบีบแล้วมีปัญหา ทำให้ครึ่งหลังพอชแก้เกมใหม่หมด

พอชตัดสินใจเอา คูคูเรญ่า ที่มีความทะมัดทะแมง ชอบเล่นลูกเสี่ยงๆ กล้าได้กล้าเสีย หุบเข้ามายืนกลางกับไกเซโด้แทน เพื่อเปิดทางให้กัลลาเกอร์ดันสูงกว่าเดิม แล้วใช้จุดเด่นให้เป็นประโยชน์ คือพละกำลังมหาศาลในการวิ่งบ้าไล่เพรสซิ่ง

กลายเป็นว่า พอเล่นแผนนั้นแล้วไล่ตีเสมอวิลล่า 2-2 เชลซียังใช้ต่อในเกมเจอสเปอร์สที่ชนะ 2-0 และล่าสุดเกมถล่มเวสต์แฮม 5-0 เท่ากับใช้แท็กติกนี้มา 2 นัดครึ่ง ปรากฏว่ามันเวิร์ค และอาจเป็นเกมที่ดีสุดของฤดูกาลเลยก็ว่าได้ 

อย่างนัดล่าสุด ตอนบุกคนที่ยืน 3 เซนเตอร์จะเป็น บาเดียชิลล์-ซิลวา-ชาโลบาห์ คู่กลางกลายเป็น คูคูเรญ่า-ไกเซโด้ กลางรุกคู่เป็น กัลลาเกอร์-พาลเมอร์ ริมเส้นเป็น มูดริค-มาดูเอเค่ และกองหน้าแจ็คสัน แต่พอช่วงเกมรับ กัลลาเกอร์ถอยกลับไปยืนกลางคู่กับไกเซโด้ ส่วนคูคูเรญ่ากลับไปยืนแบ็กซ้าย กลับไปเล่นหลัง 4 ตามเดิม 

คำถามที่น่าสนใจคือทำไมเล่น Inverted Fullback แล้วผลออกมาดี? หากอ้างอิงจากสัมภาษณ์ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ที่เล่นแผนนี้บ่อยกับอาร์เซน่อล เขาบอกว่า ทำเพื่อดึงตัวประกบจากริมเส้นให้เข้ามากลางสนาม ซึ่งหมายถึงปีกของคู่ต่อสู้ แล้วพอมีคนตามมา 1 คน มันจะเปิดโอกาสให้ปีกซ้ายอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ได้ดวลกับฟูลแบ็ก 1-1 

หรือหากไม่มีคนตามเขามากลางสนาม มันก็จะทำให้กลางอาร์เซน่อลมีจำนวนเยอะกว่าฝั่งตรงข้าม แล้วทำให้อิทธิพลกลางสนามชนะคู่ต่อสู้ทันที

เคสกับเชลซี คงเป็นเหตุผลอย่างหลังมากกว่า คือพอคูคูเรญ่าหุบมายืนกลางกับไกเซโด้ แล้วข้างหน้ายังมีกลางรุกเป็น กัลลาเกอร์ และพาลเมอร์ รวมแล้วเป็น 4 คน มันทำให้ข่มแดนกลางเวสต์แฮมที่มี 3 คนคือ ปาเกต้า, ซูเซ็ค และอัลวาเรซ

ส่วนเรื่องการทำให้ปีกได้ดวล 1-1 เนี่ย มันก็มีบางจังหวะที่คูคูเรญ่าดึงตัวประกบตามมาได้บ้าง แต่มูดริคในนัดล่าสุดยังไม่เด็ดขาดพอที่จะชนะฟูลแบ็กเวสต์แฮม มันเลยทำให้อิทธิพลของเชลซีไม่เด่นกราบซ้ายเท่าไหร่ มาเด่นตรงกลางแทน

นอกจากนี้ อีกจุดที่ทำให้เกมมันดีขึ้นคือ คูคูเรญ่า มีความคล่องตัวนั่นแหละ เวลาได้บอลไม่คิดอะไรนาน จับปุ๊บส่งปั๊บ มันก็เลยเพิ่มสปีดบอลให้ไวขึ้น ซึ่งตอนที่เล่นฟูลแบ็ก เขามีสถิติส่งบอลเฉลี่ยต่อนัดเยอะกว่า กุสโต้, ชิลเวลล์ หรือแม้แต่เจมส์ก่อนเจ็บ คือเป็นสายคึก คิดไวทำไวตลอด (แต่ดีหรือไม่ดี ก็ดูเป็นจังหวะไป)

คราวนี้มาหุบมายืนกลาง สถิติมันเลยยิ่งพุ่ง เพราะต้องสัมผัสบอลบ่อยกว่าตอนยืนแบ็ก ปกติเขาส่งบอลเฉลี่ยนัดละ 49.9 ครั้ง พอมายืนกลางนัดล่าสุดส่งบอลไป 75 ครั้ง โดยทั้งทีมมีแค่ ไกเซโด้ และบาเดียชิลล์ ที่ผ่านบอลมากกว่าเขา 

บทบาทถ้าเปรียบให้ชัดในแดนกลาง คือไกเซโด้เล่นเหมือนเป็นกลางรับธรรมชาติ คอยตัดเกมและช่วยขึ้นบิวด์อัพ ส่วนคูคูเรญ่าเล่นเหมือนเป็น Box-2-Box คอยวิ่งพล่านทั่ว จนต่างประเทศแซวเลยว่า "Cucurella, He's everywhere" หรืออยู่ทุกที่ของสนามนั่นเอง

ทั้งนี้ แม้ผมจะชื่นชมว่าแท็กติกนี้ได้ผลมา 2 นัดครึ่ง แต่ส่วนตัวคิดว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าดีในระยะยาวหรือไม่? เพราะเชลซีไม่ใช่ทีมแรกที่เล่นแบบนี้ มันมีซิตี้ที่เล่นตั้งแต่เป๊ปมาคุมใหม่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ใช้แผนนี้แล้ว หรือจะเป็นอาร์เซน่อลที่เคยใช้เต็มซีซั่นปีก่อน แต่ฤดูกาลนี้ก็เล่นไม่ทุกนัด 

ลิเวอร์พูลเองก็เล่นแบบนี้กับเทรนต์ หุบเข้ามาเป็นตัววางบอลยาวแนวลึก แต่ถามว่าทำทุกนัดไหม? ก็ไม่ใช่ เช่นเดียวกับสเปอร์สที่เล่นแบ็กหุบ 2 ข้างเลย แต่ระยะหลังเริ่มโดนคู่ต่อสู้จับทางได้ โดยเฉพาะปัญหาตอนเปลี่ยนจากรุกเป็นรับ ซึ่งแบ็กที่หุบเข้ามาตรงกลาง ถอยกลับไปป้องกันด้านข้างไม่ทัน 

นี่คือโจทย์ที่ต้องดูยาวๆ ว่ามันจะดีแค่ตอนนี้ หรือจะดีต่อในระยะยาว ซึ่งการเล่นไม่กี่แมตช์ยังสรุปได้ยาก รวมถึงต้องดูด้วยว่า สมมุติถ้าพอชได้คุมต่อปีหน้า แล้วตัวหลักทั้ง รีซ เจมส์, ชิลเวลล์ หรือเอ็นโซ่ หายกลับมากันครบ  100% คราวนี้จะจัดทีมยังไง?

อันนี้คือเรื่องของอนาคต ยังไม่อยากรีบอวยเกินเหตุ แต่ผมก็ไม่ใจร้ายเกินไปที่จะด่าไปหมดทุกอย่าง 

ที่ผ่านมาเวลาพอชวางแผนพลาด บริหารจัดการไม่ดี หรือเสียแต้มนัดง่ายๆ ก็โดนวิจารณ์มาเยอะ ดังนั้น พอถึงคราวแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีบ้าง ก็พร้อมให้เครดิตในจุดนี้เช่นกัน

ขออย่างเดียว อะไรที่ทำแล้วดี ก็จงเล่นแบบนี้ต่อไปอย่างน้อยจนจบซีซั่น อย่ากลับมาอินดี้เล่นแผนแปลกอีก ไม่งั้นเสี่ยงชื่นชมที่กำลังมาตอนนี้ คงกลับมาแค่แปปเดียว แล้วก็กลับไปเป็นเสียงบ่นเหมือนเดิม

- Petr Boat -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline