logo-heading

ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้อย่างสวยหรู หลังเปิดบ้านเอาชนะ คริสตัล พาเลซ ไปแบบขาดลอย 3-0 รูปเกมอาจดูอึดอัดไม่น้อย แต่มาแรงปลายซัด 2 ตุง ช่วงประมาณ 10 นาทีท้ายของเกม ซึ่ง 3 แต้มนี้ ทำให้ หงส์แดง บินผงาดฟ้ากลับไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะนัดนี้ อาจสร้างความกังวลใจให้กับสาวก เดอะ ค็อป อยู่ไม่น้อย เพราะมีนักเตะบาดเจ็บอีกแล้ว ส่วนอาการจะหนักหรือไม่ และ มีประเด็นอะไรน่าสนใจ ไปติดตามเรื่องราวกันเลยครับ

- การเปลี่ยนทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์

เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้จัดแกงหม้อใหญ่คาสนาม แอนฟิลด์ ทำเอาสาวก "GG LIVE" กุมขมับไปตามๆกัน เนื่องจากได้โรเตชั่นแผงหลังถึง 4 ตำแหน่ง จากเกมกลางสัปดาห์ ที่สามารถเอาชนะ เอซี มิลาน มา 3-2 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดย เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กลับมาประจำการตำแหน่ง อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กระนั้น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ โจเอล มาติป ต่างไม่มีชื่อในแผงผู้เล่น 11 ตัวจริง โดย คล็อปป์ จัดการส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงเล่นแบ็กขวา แทน เจ้าหนูคนเหล็ก ที่มีอาการป่วยก่อนเกม ขณะที่ คอสตาส ซิมิกาส ได้รับโอกาสอีกครั้งในตำแหน่งแบ็กซ้าย ส่วนเซอร์ไพรส์ก็คือ อิบราฮิม่า โกนาเต้ เซ็นเตอร์แบ็กตัวใหม่ ได้ประเดิมสนามกับ ลิเวอร์พูล สักที หลังนั่งสำรองมาตลอดตั้งแต่เปิดซีซั่น ซึ่งแน่นอนการ โรเตชั่น แบบนี้ สร้างความกังวลใจให้กับสาวก เดอะ ค็อป เพราะเปลี่ยนแผงหลังเยอะมาก แต่นี่แหละครับ ด้วยความที่ขุมกำลังก็ใหญ่พอสมควร ก็ต้องมีสับเปลี่ยนกันบ้าง แม้แทบไม่ได้ซื้อผู้เล่นเข้ามาใหม่ เรื่องผลงานต้องบอกว่า ไม่ขี้เหร่เลยครับ นี่คือการโรเตชั่นที่ได้ผลมากๆสำหรับการแข่งขันนัดนี้ มาเริ่มที่ คอสตาส ซิมิกาส .. เขาไม่ได้มีความตื่นตระหนกบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีกแล้ว เรียกว่าลงมาแทน ร็อบโบ้ ได้อย่างไรที่ติ เกมรับดี ขึ้นเกมเยี่ยม ที่สำคัญมีจุดเด่นในเรื่องของการครอสบอล และมีส่วน ทำให้ทีมได้ 2 ประตู จากการเตะมุมของเจ้าตัว ขณะที่ เจมส์ มิลเนอร์ ถึงแม้จะไม่ได้มีความเร็วเท่ากับ เทรนท์ อาร์โนลด์ แต่กระนั้นประสบการณ์ของเขา ช่วยทีมได้อย่างมาก การขึ้นเกมก็เติมไม่พัก เรื่องเกมรับก็วิ่งไม่หยุด แม้จะต้องรับมือกับ วิลเฟร็ด ซาฮา ก็แทบไม่มีข้อผิดพลาด เรียกว่าท็อปฟอร์มมากเกมนี้ โดย คล็อปป์ ได้วางแท็คติคให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลงมาช่วยคอยซ้อน มิลเนอร์ เอาไว้ด้วย ปิดที่ อิบราฮิม่า โกนาเต้ แน่นอนว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล อยากเห็นผลงานเขาสุดๆ ซึ่งการลงมาจับคู่กับ ฟาน ไดค์ ก็พอเบาใจได้บ้าง โดยเกมแรกถือว่าสอบผ่าน แต่ก็มีช็อตที่ยืนผิดตำแหน่งให้เห็นกันอยู่ ซึ่งมันก็ต้องเรียนรู้และพัฒนากันไป ดีที่เกมแรกมีพี่เลี้ยงในแนวรับถึง 2 คน ทำให้เก็บคลีนชีตกับทีมได้สำเร็จ

- ความมั่นใจของ มาเน่

จำกันได้ไหมครับว่า ก่อนหน้านี้ เคยพูดถึงความมั่นใจของ ซาดิโอ มาเน่ ที่ใช้โอกาสสิ้นเปลืองมากในการง้างเท้าทำประตู แต่หลังจากที่เจ้าตัวปลดล็อคด้วยการยิงใส่ ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อสัปดาห์ก่อน มันส่งผลมาถึงเกมเจอกับ พาเลซ จริงๆ เพราะ เจ้าของฉายา "ณเดชน์แห่งวงการลูกหนัง" โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น เขาเป็นคนที่สร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนได้หลายครั้ง การประสานงานกับ ซิมิกาส ทางฝั่งซ้ายก็ไหลลื่น ที่สำคัญวันนี้ ซาดิโอ มาเน่ ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือหลายครั้งอีกแล้ว ด้วยการตามไปซ้ำซัดให้ หงส์แดง ขึ้นนำ 1-0 ซึ่งประตูนี้ เป็นการสร้างสถิติหลายๆอย่างให้กับตัวเขาเอง เริ่มจาก จารึกว่าตนเองได้ซัดประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ครบ 100 ลูก เป็นที่เรียบร้อย ใช้เวลาประมาณ 5 ซีซั่นเศษ และ อีกสถิติที่สร้างขึ้นก็คือ เป็นนักเตะที่ยิงคู่แข่งทีมเดียวติดต่อกันมากสุดที่ 9 นัด ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แน่นอนว่า คริสตัล พาเลซ คือเหยื่ออันโอชะ เรียกว่าเจอกันเมื่อไหร่ มาเน่ ยิงเมื่อนั้น เห็น ซาดิโอ มาเน่ โดนด่าเช้า-เย็น แบบนี้ แต่ประทานโทษเขาซัดให้ หงส์แดง ในลีกซีซั่นนี้ไปแล้ว 3 ประตู กลายเป็นรองดาวซัลโวร่วมกับหลายๆคนไปแล้ว ดังนั้นถ้าเขาปรับความเฉียบคม และ รักษาฟอร์มอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ ลิเวอร์พูล น่ากลัวมากกว่าเดิมหลายขุม

- บังโม เครื่องจักรถล่มประตู

"one season wonder" ประโยคนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เอาไปตอกหน้านักวิจารณ์จนหงายเงิบ เพราะเขาพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้เก่งแค่ซีซั่นเดียว แต่เป็น เดอะ แบก ลิเวอร์พูล ทุกซีซั่น โดยสัปดาห์ก่อน ก็เพิ่งซัดประตูบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครบ 100 ประตูไปแล้ว รวมสมัยอยู่ เชลซี ล่าสุดนัดที่พบกับ คริสตัล พาเลซ เป็นการฉลองครบรอบลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ครบ 150 นัด นับเฉพาะเกมลีก ดังนั้นเจ้าตัวหมายมั่นปั้นมือที่จะทำประตูให้ได้ ซึ่งความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล หลังซัลโวให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ก่อนจะปลดแอกความด้วยการถอดเสื้อ ยอมโดนใบเหลือง เพื่อแสดงให้เห็นถึงอาการสะใจ ซึ่ง 1 ประตู ที่ บังโม ทำได้ในเกมนี้ ทำให้เจ้าตัวมีสถิติ ลงเล่น 150 นัด ในศึก พรีเมียร์ลีก ซัดไป 99 ประตู ให้กับ ลิเวอร์พูล อีกแค่ 1 ตุง ก็จะครบร้อยกับสโมสรแห่งนี้ ดูแล้วไม่ยาก แต่ที่มันน่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ เขาจะสามารถเอาบัลลังค์ดาวซัลโวกลับมาได้หรือไม่ เมื่อในลีกมี โรเมลู ลูกากู กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามาเป็นคู่แข่งเพิ่ม โดยซีซั่นนี้ ซาลาห์ กดไปแล้ว 4 ประตู นำเป็นอันดับ 1 ร่วมกับ มิคาอิล อันโตนิโอ และ บรูโน่ แฟร์นานเดส

- อาการบาดเจ็บ ติอาโก้

ถึงแม้ว่าจะเป็นชัยชนะที่สวยหรูของ ลิเวอร์พูล พร้อมกับทะยานขึ้นเป็นจ่าฝูงชั่วคราว ด้วยการเก็บไป 13 คะแนน จาก 5 นัด แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่สาวก เดอะ ค็อป รู้สึกกังวลใจเหลือเกิน นั่นก็คืออาการบาดเจ็บของ ติอาโก้ อัลคันตาร่า ซึ่งต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม นาที 62 และ ส่ง นาบี เกอิต้า ลงมาเล่นแทน เพราะก่อนหน้านี้ หงส์แดง ต้องเสีย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ แนวรุกดาวรุ่ง ไปจากอาการข้อเท้าหลุด ต้องพักราวๆ 6 เดือน ดังนั้นเมื่อ ติอาโก้ เจ็บไปอีกคน ทำให้แฟนบอลวิตกกังวล กลัวภาพซีซั่นก่อนจะฉายซ้ำ ที่นักเตะตัวหลัก พาเหรดกันบาดเจ็บไปทีละคน สองคน อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของ ติอาโก้ อาจไม่ได้หนักมากนัก เพราะเขาสามารถเดินออกจากสนามไปด้วยตัวเอง ไม่มีใครคอยพยุง ซึ่งหลังจบเกม เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับว่า นักเตะรู้สึกมีปัญหาตรงบริเวณน่อง แต่หวังว่าจะไม่บาดเจ็บอะไรมาก ซึ่งต้องรอผลตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง จริงๆแล้ว อาการบาดเจ็บ มันเป็นเรื่องโชคร้ายทั้งนั้นแหละครับ แต่มันก็มีความโชคดีซ่อนอยู่ เพราะถึงแม้ เอลเลียตต์ กับ ติอาโก้ จะบาดเจ็บ ทว่าประตูปิดกล่องอันสวยงามของ นาบี เกอิต้า น่าจะเพิ่มความั่นใจให้กับเจ้าตัวหลายขุม หากได้รับโอกาสลงสนามในนัดหน้า ซึ่งนี่คือประตูแรกในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของเขา นับตั้งแต่กรกฎาคม 2020

- ประกาศศักดาลุ้นแชมป์เต็มตัว

หากวัดจากการเสริมทัพ ลิเวอร์พูล คงเป็นม้านอกสายตา ที่จะก้าวไปลุ้นแชมป์กับ เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะ 3 ทีมนั้น เสริมทัพได้อย่างน่ากลัว ผิดกับ หงส์แดง ที่ไม่ได้ใครมาเลย นอกจาก โกนาเต้  ทว่าหากใครไปดูถูกดูแคลน หงส์แดง ก่อนหน้านี้ คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วล่ะครับ เพราะต่อให้จะไม่มีแนวรุกมาเสริมทัพ แต่ผลงานของลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทีนยมดองจริงๆ โดยเฉพาะการได้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กลับมา ทำให้แนวรับ ลิเวอร์พูล แข็งแกร่งมาก โดยตลอด 5 เกมที่ผ่านมา เก็บคลีนชีตถึง 4 นัด และ เสียไปแค่ 1 ประตู ส่วนเกมรุก ดิโอโก้ โชต้า ทำเอาแฟนบอลลืม โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ยังมีอาการบาดเจ็บไปเลย ขณะที่ บังโม กับ มาเน่ ก็ช่วยกันยิงประตูให้กับทีม จนตอนนี้ ลิเวอร์พูล ขยับขึ้นมานำจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เรียบร้อย ซึ่งผลงานแบบนี้ก็เป็นการประกาศักดาแล้วล่ะครับ พวกเขาพร้อมท้าทายบัลลังค์แชมป์ พรีเมียร์ลีก เต็มตัว และ หวังทวงโทรฟี่ กลับคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง

ฮาย ฮาวดี้-

logoline