ลิเวอร์พูล ยังคงร้อนแรงบนเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะต่อให้อยู่ กรุ๊ป ออฟ เดธ แต่ล่าสุดพวกเขาการันตีผ่านเข้ารอบแล้วเรียบร้อย หลังเปิดบ้านเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด ไปแบบสบายเท้า 2-0 โดยเกมนี้ได้ ดิโอโก้ โชต้า และ ซาดิโอ มาเน่ ซัดคนละ 1 เม็ด อีกทั้งคู่แข่งโดนใบแดง ทำให้เจ้าบ้านแทบจะคุมไว้ได้ฝ่ายเดียว เอาเป็นว่าเกมคู่นี้มีประเด็นอะไรที่ต้องพูดถึงกันบ้าง ไปติดตามกันได้เลยครับ
- หงส์แดง ล้างตาสำเร็จ
เชื่อว่า ลิเวอร์พูล ยังคงฝังรอยแค้น และ ผูกใจเจ็บกับการที่เคยพ่ายคาบ้านต่อ แอตเลติโก มาดริด ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งมีม อัลบาโร่ โมราต้า ที่เคยแสดงท่าดีใจ สไลด์เข่าประนมมือ พร้อมแคปชั่น "ขอบคุณสำหรับข่าวสาร" ยังคงมีให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งหากใครยังจำกันได้ นักเตะ ตราหมี มีอัดคลิปเฉลิมฉลอง หลังปราบ หงส์แดง กันอย่างสนุกสุดเหวี่ยง
อย่างไรก็ตาม 10 ปี แก้แค้นก็ยังไม่สาย แต่เพียงแค่ 2 ฤดูกาลถัดมา ลิเวอร์พูล กับ แอต. มาดริด ก็ได้มาเผชิญหน้ากันอีก แค่เปลี่ยนเวอร์ชั่นมาเป็นรอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น ซึ่งคราวนี้ต้องบอกเลยว่า หงส์แดง เอาคืนแบบทบต้นทบดอก เพราะบุกไปปราบเอาชนะถึงถิ่น ตราหมี 3-2 และ ที่สะใจกว่านั้นก็คือล้างตาลูกทีม ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ด้วยการเปิดถิ่นแอนฟิลด์ เอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-0
จากการเก็บชัยชนะเหนือ ตราหมี ทั้ง 2 นัด ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล การันตีผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะแชมป์กลุ่ม เรียบร้อยแล้ว แข่ง 4 นัด มี 12 แต้มเต็ม ส่วน ตราหมี ต้องลุ้นอย่างหนักเลยว่าจะผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์หรือไม่ เพราะตอนนี้ แอต. มาดริด รั้งอันดับ 3 ของกลุ่ม มีแค่ 4 แต้ม จาก 4 นัด ต้องไปลุ้น 2 นัดสุดท้ายกับ เอฟซี ปอร์โต้ และ เอซี มิลาน ว่าทีมใดจะเข้ารอบ
- ใบแดง ทำเกมขาด
เกมนี้ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล เหนือกว่าทุกกระบวนท่า พวกเขาครองบอลบุกเข้าใส่ แอตเลติโก มาดริด ตั้งแต่เริ่มเกม จะว่าไปก็เป็นไปตามที่คาด เพราะ ตราหมี คงมาแบบเหนียวแน่น แพ็คเกมรับ ไม่ให้คู่แข่งเจาะเข้าทำ และ ใช้จังหวะสวนกลับแบบคมๆคอยเล่นงาน
แต่เพียงแค่ 13 นาที ลิเวอร์พูล ก็ออกขึ้นนำ 1-0 จากลูกครอสของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มาให้กับ ดิโอโก้ โชต้า ปล่อยบอลตกลงพื้น และ โขกเข้าไปซุกตาข่าย จากนั้นไม่ถึง 10 นาที หงส์แดง ก็ได้ประตูขึ้นนำ 2-0 จาก ซาดิโอ มาเน่ เรียกว่าราวๆ 20 นาทีแรก ทำให้งานของ เร้ด แมชชีน ง่ายขึ้นเยอะ เพราะทางฝั่ง ตราหมี ก็ไม่ได้โหมเข้าใส่กดดันอะไรมากมาย
กระทั่งนาที 36 เกมนี้แทบจบลงไปเลย เมื่อ เฟลิเป้ ไปจงใจเตะตัดเกมใส่ ซาดิโอ มาเน่ จากด้านหลัง ถึงแม้ไม่ใช่ช็อตรุนแรง แต่จากภาพช้า เจตนาเตะชัดเจน ไม่มีท่าทีว่าจะเล่นบอลเลย ซึ่งอาจทำให้คู่แข่งบาดเจ็บได้ ผู้ตัดสินจึงควักใบแดงไล่ เฟลิเป้ แนวรับของ ตราหมี ออกจากสนามแบบงงๆ เพราะตอนแรกคิดว่าแค่เหลือง เนื่องจาก แดนนี่ มักเคลี กรรมการในสนาม เหน็บใบเหลืองกับใบแดงไว้ในกระเป๋าเดียวกัน ขนาดภาพถ่ายทอดสดยังตัดกล้องไปมุมอื่น ก่อนจะมารู้ทีหลังว่า เฟลิเป้ โดนไล่ออก .. ซึ่งจังหวะนี้อยู่ที่ ดุลยพินิจของผู้ตัดสินล้วนๆ
ขณะที่นักเตะ ลิเวอร์พูล ก็มีสุ่มเสี่ยงจะโดนไล่ออกเหมือนกัน นั่นคือ ซาดิโอ มาเน่ ที่โดนใบเหลืองตั้งแต่ 15 นาทีแรกของเกม ซึ่งนักเตะ ตราหมี ก็พยายามไปเรียกฟาวล์ใส่ มาเน่ เพื่อให้โดนเหลือง 2 ให้ได้ จะได้เหลือ 10 คน เท่านั้น แต่ทว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ รู้ทัน ขืนปล่อยอยู่ต่อไป เตรียมไป ทบ. ผลัด 2 แน่นอน เลยชิงเปลี่ยนตัวออกจากสนามตั้งแต่พักครึ่ง
- VAR ริบสกอร์ทั้งคู่
หากเกมมันสูสีกว่านี้ และ มีความเข้มข้นกดดันมากกว่านี้ เชื่อว่า VAR จะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในเกมนี้เลยล่ะครับ โดยเฉพาะ แอตเลติโก มาดริด ที่มีโอกาสได้โมเมนตั้มกลับคืนมา จากตอนตามหลังอยู่ 0-2 แต่ก็ต้องล่มปากอ่าว เมื่อ VAR ริบสกอร์คืน
เหตุการณ์ VAR เริ่มจาก ลิเวอร์พูล ก่อนเลยครับ พวกเขามีโอกาสยิงฝัง ตราหมี แบบเด็ดขาด 3-0 เมื่อ ดิโอโก้ โชต้า ส่งบอลเข้าไปซุกตาข่ายอีกครั้งช่วง 3 นาทีแรกของครึ่งหลัง แต่ VAR จับภาพ โชต้า ล้ำหน้าแบบปลายหัวเกือก ซึ่งเคยเป็นภาพหลอนของ หงส์แดง เมื่อซีซั่นก่อน ทำให้ขณะนั้นยังนำอยู่แค่ 2 ลูก
ส่วนทาง ตราหมี ก็มีโอกาสที่จะตีตื้น เรียกโมเมนตั้มของเกมกลับมาเหมือนกัน เพราะต่อให้คนน้อยกว่า แต่ถ้าได้มา 1 ลูกก็มีลุ้นทำเซอร์ไพรส์เหมือนกัน เมื่อ ฟาบินโญ่ โขกไปเข้าทาง หลุยส์ ซัวเรซ ก่อนยิงแฉลบ โจเอล มาติป บอลเปลี่ยนทางเข้าประตู อย่างไรก็ตามการทำงานของ VAR เช็คว่า จังหวะก่อนที่ ซัวเรซ จะง้างเท้ายิงนั้น ลูกฟรีคิกที่นักเตะ แอต. มาดริด โยนเข้ามา มีผู้เล่นยืนเบียดกับ ฟาบินโญ่ และ อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้ถูกริบสกอร์คืน และ ตามหลัง 0-2 เหมือนเดิม
- หงส์แดง ชนะแต่น่ากังวล
ไม่รู้ว่าลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ทำบุญสะเดาะเคราะห์บ้างหรือเปล่า ซีซั่นก่อน ก็แนวรับพากันเดี้ยง มาฤดูกาลนี้พวกมิดฟิลด์ก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บยาวเป็นหางว่าว ถึงแม้ว่านัดเจอ แอตเลติโก มาดริด จะมีข่าวดี ได้ทั้ง ฟาบินโญ่ และ ติอาโก้ อัลคันตาร่า ซึ่งการมี ฟาบินโญ่ คอยเก็บกวาดอยู่ด้านหน้าคู่เซ็นเตอร์แบ็ก เป็นอะไรที่อุ่นใจดีจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นชัยชนะแบบชิลล์ๆของเหล่า เครื่องจักรสีแดง แต่ทว่ากลับมีเรื่องให้น่ากังวลอีกแล้ว เมื่อ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กองหน้าที่ลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงพักครึ่ง ก็มาเจ็บแฮมสตริงไปอีก ขอเปลี่ยนออกจากสนามทันที ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะบาดเจ็บหนักขนาดไหน
รวมไปถึง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ซึ่งได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ก็ทรงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีล้มไปนอนกับพื้น จนทีมแพทย์ต้องเข้ามาดูอาการ ก่อนจะออกไปพูดคุยซุบซิบกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ จากนั้นไม่นาน บอส ก็เปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ ส่ง ทาคุมิ มินามิโนะ ลงสนามมาแทน ดังนั้นต้องรอเช็คกันให้ดีๆเลยว่าทั้ง ฟีร์มิโน่ และ ดิ อ็อกซ์ จะบาดเจ็บหนักหรือไม่ แต่ที่แน่ๆมันเป็นข่าวที่ไม่ดีเลยสำหรับสาวก เดอะ ค็อป
- หงส์แดงยังคงไร้พ่าย
สาวก หงส์แดง อาจจะยังเซ็งไม่หายกับเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดล่าสุดที่ทำได้เพียงเสมอกับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 2-2 แต่กระนั้นเกมตบ ตราหมี น่าจะบรรเทาได้ไม่มากก็น้อย เพราะนอกจากการันตีแชมป์กลุ่มแล้ว ลิเวอร์พูล ยังมีสถิติอันยอดเยี่ยมก็คือ การไร้พ่ายมาแล้ว 25 นัดติดต่อกัน
25 นัดที่ว่านั้น แบ่งเป็น ชนะ 18 นัด และ เสมอ 7 นัด นับเป็นสถิติไร้พ่ายที่ยาวนานที่สุด รวมทุกรายการ เทียบเท่ากับชุดตำนานยุคปี 1982 ที่เคยไร้พ่าย 25 นัด เหมือนกัน ดังนั้นนัดหน้าที่ ลิเวอร์พูล จะต้องออกไปเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด หากพวกเขาไม่แพ้กลับมา ก็จะสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาทันที ซึ่งมันไม่ใช่ทำกันง่ายๆ
ส่วนนัดสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล แพ้ให้กับคู่แข่งนะเหรอ ? ต้องย้อนกลับไปเกมที่บุกไปพ่ายต่อ เรอัล มาดริด 1-3 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนเมษายน ของซีซั่นที่แล้ว สาเหตุที่ทำให้ หงส์แดง ก็ต้องยกเครดิตให้กับทุกฝ่าย แต่อย่างนัดชนะ ตราหมี ถึงแม้ โม ซาลาห์ จะยิงไม่ได้ แต่ก็ยังมี โชต้า และ มาเน่ มาทำประตูให้ โดยมี เทรนท์ อาร์โนลด์ แอสซิสต์ 2 ลูก ซึ่งเป็นเรื่องดีที่มีคนคอยแบ่งเบาภาระ
ฮาย ฮาวดี้-