logo-heading

เชื่อเหลือเกินว่าแฟนบอลในบ้านเราหลายคนคงปันใจเชียร์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์กันไม่น้อย เนื่องด้วยผลงานของพวกเขาในอดีตที่เคยเป็นถึงแชมป์ยูโรเมื่อปี 1988 หรือสตาร์เด่นหลายๆ คนทำให้ซื้อใจกองเชียร์ไปได้เยอะเลยทีเดียว

โดยในอดีตทัพ "อัศวินสีส้ม" ถือว่าเป็นขาประจำของทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก หรือศึกยูโร ที่พวกเขามักจะตีตั๋วเข้าไปสร้างสีสันได้อยู่เสมอ แต่ทว่ากับในช่วงหลายปีหลังดูเหมือนมาตรฐานของพวกเขาจะดร็อปลง ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลรายการใหญ่ติดต่อกันถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในศึกยูโร 2016 ต่อเนื่องด้วยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่พวกเขาได้แต่เปิดทีวีรับชมจากทางบ้าน ไม่ได้ไปร่วมโม่แข้งด้วย ซึ่งจะว่าไปนั้นคือช่วงตกต่ำอย่างแท้จริงสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ถือว่าลุกขึ้นจากความผิดหวังได้อย่างรวดเร็วด้วยการตีตั๋วไปลุยทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ติดต่อกันได้ถึง 2 ครั้งซ้อนทั้งยูโร 2020 ที่ผ่านมา และล่าสุดก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนจากยุโรปที่ได้ไปเฉิดฉายในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ที่ประเทศกาตาร์ ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะพาทุกท่าย้อนไปดูกันหน่อยว่าที่ผ่านมาผลงานของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง และเส้นทางกว่าจะกลับมาสู่ลู่ทางของตัวเองอีกครั้งต้องเผชิญกับอุปสรรคอะไรบ้าง

พลาดตั๋วลุยยูโร

ย้อนกลับไปในช่วงศึกยูโร 2016 รอบคัดเลือก ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ทัพ "อัศวินสีส้ม" มีผลงานที่ไม่เอาอ่าวมากจริงๆ เพราะถ้าจะว่าไปคู่แข่งร่วมกลุ่มของพวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่นักซึ่งประกอบไปด้วย เช็ก, ไอซ์แลนด์, ตุรกี, คาซัคสถาน และ ลัตเวีย  ซึ่งถ้าเปรียบเทียบด้วยชื่อชั้นต้องยอมรับว่าพวกเขาค่อนข้างโดดเด่นกว่ามาก และถ้ากองรายชื่อผู้เล่นออกมาดูยังไงเสียพวกเขาต้องกรุยทางเข้ารอบสุดท้ายได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าความคิดกับความจริงมักเดินสวนทางกันอยู่บ่อยครั้ง เนเธอร์แลนด์ ที่ตอนนั้นต้องเปลี่ยนมือกุนซือถึง 2 คน จาก กุส ฮิดดิ้งค์ มาเป็น แดนนี่ บลินด์ ผลงานของพวกเขาก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมากเท่าไหร่นัก จากการลงสนาม 10 นัด ทีมเก็บไปได้เพียง 13 คะแนน จากการชนะ 4 เสมอ  1 และแพ้ 5 นัด ซึ่งชัยชนะ 4 เกมที่ว่านั้นก็ได้มาจากทีมรองบ่อนอย่าง คาซัคสถาน และ ลัตเวีย แบบไป-กลับ เท่านั้น สรุปจบเพียงอันดับ 4 ของกลุ่ม พลาดตั๋วเข้ารอบต่อไปแบบเสียหน้ามากพอสมควร เพราะจากด้วยผลงาน และชื่อชั้นอย่างน้อยๆ พื้นที่อัน 1 หรือ 2 ของกลุ่ม หรือแม้แต่อันดับ 3 ที่ดีสุดมันควรจะมี เนเธอร์แลนด์ เข้าไปผสมอยู่ด้วย แต่ความจริงนั้นมันไม่ใช่แบบที่แฟนบอลจินตนาการภาพเอาไว้เลย เนเธอร์แลนด์ กับการคัมแบ็คสู่ศึกฟุตบอลโลกอีกครั้ง

อกหักอดไปบอลโลก

ภายหลังโชว์ผลงานได้อย่างน่าผิดหวังจนพลาดตั๋วไปลุยรอบสุดท้ายของศึกยูโร 2016 ทำให้พวกเขาเองก็ตั้งความหวัง และหมายมั่นว่าจะแก้ตัวกับการไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียให้ได้ เพื่อเป็นคำขอโทษส่งตรงไปยังแฟนบอลที่ตามเชียร์ และหนุนหลังพวกเขาอยู่เสมอ โดยในรอบคัดเลือกพวกเขาถูกจับมาอยู่ในกลุ่ม A ร่วมกับ ฝรั่งเศส, สวีเดน, บัลแกเรีย, ลักเซมเบิร์ก และ เบลารุส ซึ่งถ้าประเมินจากคุณภาพการที่มีตั๋ว 2 ใบ ให้ได้จับจองทัพ "กังหันสีส้ม" ก็คงต้องเบียดแย่งกับทัพ "ตราไก่" และ "ไวกิ้ง" อย่างแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ และเมื่อการแข่งขันดำเนินไปเรื่อยๆ ฝรั่งเศส ก็ค่อยๆ โชว์ผลงานจนยึดหัวหาดนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มพร้อมตีตั๋วเข้ารอบสุดท้ายได้สำเร็จ ทำให้เหลือเนเธอร์แลนด์ กับ สวีเดน เท่านั้นในการเบียดแย่งอีกหนึ่งโควต้า ว่าแล้วก็ดั่งบทละครเขียนเอาไว้ให้ทั้งคู่ต้องโคจรมาพบกัน แต่ทว่าเงื่อนไขเข้ารอบของ เนเธอร์แลนด์ ค่อนข้างยาก เพราะนอกจากต้องชนะแล้ว ต้องยิงประตูให้เยอะที่สุด บทสรุปสุดท้ายแม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายคว้าชัยมาได้ด้วยสกอร์ 2-0 แต่ทว่าก็ไม่เพียง มีอันต้องอกหักอีกครั้งแบบซ้ำซ้อนแม้จะเก็บคะแนนไปได้มากถึง 19 คะแนน ก็ตาม

ช่วงเปลี่ยนถ่ายนักเตะชุดใหม่

ภายหลังผิดหวังแบบซ้อนๆ จากทั้งศึกยูโร 2016 ต่อเนื่องด้วยฟุตบอลโลก 2018 มันก็ถึงช่วงเวลาที่พลพรรคทัพ "อัศวินสีส้ม" ต้องทำการเปลี่ยนแปลงชุดผู้เล่น เปลี่ยนถ่ายจากชุดเก่าๆ นำนักเตะดาวรุ่งมาผสมผสาน ส่วนในแข้งเก๋าบางรายก็หันหลังให้ทีมชาติไปเลย โดยถ้าจะกางรายชื่อของเหล่านักเตะชุดอกหักพลาดตั๋วลุยเวิลด์คัพ 2018 จะพบว่ามีนักเตะตัวหลักหลายคนอยู่ในช่วงโรยราเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น อาร์เยน ร็อบเบน, ไรอัน บาเบล, เวสลี่ย์ สไนเดอร์ หรือ วินเซ่น ยานส์เซ่น ฉะนั้นแล้วมันสมควรแก่เวลาแล้วในการเปิดทางให้เด็กก้าวขึ้นมาสานงานต่อ โดยเฉพาะดาวรุ่งจากการปลุกปั้นของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่นำมาโดย เฟร้งกี้ เดอ ยอง, มัตไธส์ เด ลิกต์ หรือ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ซึ่งเมื่อเหล่าดาวรุ่งพวกมีมาผนวกกับแข้งวัยกำลังพีคที่ผลงานดีกับต้นสังกัดอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์, เมมฟิส เดปาย หรือ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มันทำให้รสชาติที่ออกมาค่อนข้างกลมกล่อมมากเลยทีเดียว เนเธอร์แลนด์ กับการคัมแบ็คสู่ศึกฟุตบอลโลกอีกครั้ง

สมหวังกับยูโร 2020

แน่นอนว่าหลังมีการเปลี่ยนถ่ายนักเตะนำสายเลือดใหม่มาสู้บดขยี้กับทีมอื่นๆ มันเลยทำให้ เนเธอร์แลนด์ ทีมนี้มีความลงตัวทั้งเรื่องของความสด และนักเตะที่เขี้ยวลากดินผ่านสมรภูมิแข้งมาแล้วมากมายมากในการช่วยประคองทีมจนกระทั่งซิวตั๋วไปลุยศึกยูโร 2020 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ โดยในรอบคัดเลือกพวกเขาถูกจับฉลากมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับ เยอรมัน, ไอร์แลนด์เหนือ, เบลารุส และ เอสโตเนีย ซึ่ง 8 นัดในรอบนี้ เนเธอร์แลนด์ เก็บไปได้ 19 คะแนน ส่วนไฮไลท์อยู่ที่เกมบุกไปเอาชนะทัพ "อินทรีเหล็ก" ได้ถึงถิ่น 2-4 จบอันดับ 2 ของกลุ่มกรุยทางเข้ารอบสุดท้ายได้แบบไม่ยากเย็นมากนัก ส่วนผลงานในรอบสุดท้ายผลงานของพวกเขาในรอบแบ่งกลุ่มถือว่าพีคเป็นอย่างมากเก็บ 9 คะแนน เต็ม พร้อมกระหน่ำไปได้มากถึง 8 ประตู แต่ทว่าก็ต้องมาจอดเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้นด้วยการพ่ายให้กับ เช็ก ไปแบบพลิกล็อค 0-2 ปิดฉากยูโรหนล่าสุดไปแบบผิดคาดเล็กน้อย

ต่อยอดจนได้ไปลุยบอลโลก

สืบเนื่องจากผลงานที่ผ่านมาเริ่มพัฒนา และดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด พวกเขาก็สามารถต่อยอดความร้อนแรงตรงนั้นด้วยการซิวตั๋วไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ กาตาร์ มาครองได้สำเร็จ ภายหลังเมื่อ 4 ปีที่แล้วอกหักแบบเจ็บซ้ำถึงทรวง แม้คราวนี้พวกเขาจะต้องลุ้นผลถึงนัดสุดท้ายกว่าจะได้ตั๋วมาครอง แต่ทว่าจากผลงานโดยรวม 10 เกม เก็บไปได้ 23 คะแนน ถือว่าไม่ได้ขี้เหร่อะไรมากนัก ในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับ ตุรกี, นอร์เวย์ และ มอนเตเนโกร อีกทั้งในรอบคัดเลือกนี้พวกเขาเป็นทีมที่ยิงประตูได้เยอะที่สุดถึง 33 ตุง เป็นอันดับที่ 3 รองจาก อังกฤษ (39 ประตู) และ เยอรมัน (36 ประตู) เท่านั้น ส่วน เมมฟิส เดปาย ก็กลายเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมมากที่สุดในรอบคัดเลือกหนนี้ภายหลังทำไป 12 ประตู กับอีก 6 แอสซิสต์ เนเธอร์แลนด์ กับการคัมแบ็คสู่ศึกฟุตบอลโลกอีกครั้ง

วนเวียนเปลี่ยนกุนซือ

ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงที่วงการลูกหนัง เนเธอร์แลนด์ ฟุบไปไม่ได้ลุยศึกใหญ่ช่วงปี 2014 นับมาจนถึงปัจจุบันพวกเขาปรับเปลี่ยนตำแหน่งหัวเรือตรงนี้ไปมากถึง 7 ครั้งด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็วนเวียนใช้กุนซือที่มีชื่อในประเทศแทบทั้งนั้น ไล่มาตั้งแต่ กุส ฮิดดิ้งค์ ที่แยกทางกันในช่วงปี 2015 ก็ถูกรับไม้ต่อโดย แดนนี่ บลินด์ ที่เข้ามารับตำแหน่งได้อยู่ราวๆ 2 ปี ก็ต้องทางใครทางมันกันไป ก่อนที่ระหว่างหากุนซือถาวรทางสมาคมก็ได้แต่งตั้ง เฟร็ด คริม ที่มีประสบการณ์คุมทีมเนเธอร์แลนด์ชุดยู-21 และผู้ช่วยในตอนนั้นมาขัดตาทัพ ซึ่งผลงานคุมทีม 3 นัด พาเก็บชัยชนะได้ถึง 2 และแพ้ไป 1 เกมต่อ อิตาลี ในเกมอุ่นเครื่อง จากนั้นทีมก็ไปเจรจาดึง ดิ๊ก อัดโวคาท มานั่งแท่นกุนซือ แต่ทว่าก็อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานราว 5 เดือนเท่านั้น ก็ต้องแยกทางกันอีกครั้ง จากนั้นก็คือคิวของ โรนัลด์ คูมัน ที่เข้ามาทำงานลากยาวตั้งแต่ช่วงปี 2018 ถึง 2020 ก่อนที่จะสละตำแหน่งด้วยการถูก บาร์เซโลน่า ดึงตัวไปใช้งาน ว่าแล้วทีมก็ยังคงยึดแนวทางเดิมด้วยหารใช้งานกุนซือในประเทศ คราวนี้มาถึงคิวของ แฟร้ง เดอ บัวร์ ตำนานนักเตะของทีมมาทำงานในบทบาทกุนซือ แต่ทว่าผลงานในศึกยูโร 2020 ที่ต้องตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเพื่อรับผิดชอบที่เข็นทีมไปให้ไกลกว่านั้นไม่ได้ ก่อนที่สมาคมบอลดัตซ์จะไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ ฟาน กัล กลับมารับงานอีกครั้ง จนกระทั่งพาทีมกลับไปลุยศึกฟุตบอลโลกอีกครั้งได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็ต้องยกเครดิตให้คนเก่าอย่าง เดอ บัวร์ ที่ทำผลงานไว้ดี และก็ต้องยกนิ้วให้ความเก๋าของ ฟาน กัล ที่พาทีมเข้าเป้าตามที่ต้องการได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดมันแสดงให้เห็นถึงอะไรหลายๆ อย่าง ชาติระดับเนเธอร์แลนด์ก็สามารถที่จะเป็นยักษ์ที่หลับตามกาลเวลาได้เหมือนกัน ซึ่งพอถึงช่วงเปลี่ยนถ่ายนักเตะกลุ่มใหม่เข้ามา ก็ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นความหวังของแฟนบอลได้อีกครั้ง และการได้เข้าไปเล่นรอบสุดท้ายของ 2 ทัวร์นาเมนต์ล่าสุดมันก็คือเครื่องยืนยันว่าพวกเขาได้กลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง  แม้อาจจะยังไม่ได้น่าเกรงขาม เหมือนในอดีต แต่อย่างน้อยมันก็เป็นสัญญาณเตือนว่าไม่อาจประมาทพวกเขาได้จริงๆ

ยินดีต้อนรับกลับสู่ศึกฟุตบอลโลกอีกครั้ง... เนเธอร์แลนด์

- Paolinho -

logoline