หลังจากก่อนหน้านี้มีโอกาสส่งตัวเองไปยืนในสนามหลายแห่ง หลายประเทศทั้งในยุโรป และ เอเชีย ในที่สุดก็ได้โอกาสสำคัญได้รับเชิญจาก ลาลีกา ให้ร่วมภารกิจ ชมศึก เอล กลาซิโก้ ที่สนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว รังเหย้าของ เรอัล มาดริด ไม่เคยคิดและฝันว่าจะมีโอกาสได้ร่วมชมเกม เอล กลาซิโก้ อย่างใกล้ชิดติดขอบสนามมาก่อน ท้ายที่สุดโอกาสของก็มาถึง
การไปร่วมภารกิจในครั้งนี้ ไปในฐานะ ผู้สื่อข่าวของ ขอบสนาม ถือเป็นเกียรติอย่างสูงเรื่องจากเป็นมีเดียไทยหนึ่งเดียวที่ได้รับเลือกในการทำภารกิจครั้งสำคัญนี้ ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต กับการก้าวหน้าไปอีกขั้น แม้จะเป็นการเดินทางคนเดียวแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เชื่อว่าตัวเองมีศักยภาพพอหลังจากเดินทางไปหลายแห่ง หลายประเทศมาแล้ว
เมื่อได้รับการยืนยันก็เริ่มจัดการดำเนินการเอกสารของตัวเอง รวมถึงจดหมายเชิญจากทาง ลาลีกา เพื่อขอยื่นวีซ่าเชงเก้น การดำเนินเอกสารในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ค่อนข้างเยอะทีเดียว อีกทั้งต้องจองการตรวจ pcr ทั้งขาไป และกลับ เบ็ดเสร็จตรวจกันถึง 4 ครั้ง นอกจากนี้ยังต้องมีการลงทะเบียนกับสาธารณสุขเพื่อเข้าประเทศสเปน และลงทะเบียน ไทยแลนด์ พาส ขากลับเข้าประเทศไทย มีเอกสารเยอะพอสมควรแต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี
วันแรกที่ สเปน :
ในที่สุดก็ถึงวันเดินทาง หลังทราบผล pcr ที่ผลเป็นลบ พร้อมสำหรับการออกนอกประเทศ เดินทางโดยสายการบิน กาตาร์ แอร์เวย์ ใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมงรวมต่อเครื่อง และเมื่อเดินทางถึง สเปน ลงที่ท่าอากาศยาน อาโดลโฟ ซัวเรซ มาดริด-บาราฆัส วันแรกก็พบเรื่องตื่นเต้น เนื่องจากกระเป๋าเดินทางหาย ตอนนั้นแทบร้องไห้ รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สนามบิน รอให้เขาตรวจสอบก็พบว่ากระเป๋าเราอยู่สนามบินแห่งนี้ แต่ไปปนกับสายพานไฟลท์อื่น เขาเลยให้เรารอ ประมาณ 40 นาที ก็ได้กระเป๋าคืน
เมื่อวุ่นวายกับกระเป๋าแล้วได้คืนเสร็จ ก็ออกมานั่งรอรถอยู่ข้างนอก ได้พบกับคนเอาทิชชู่มาวางไว้พร้อมกับกระดาษใบเล็กเป็นภาษาสเปน ซึ่งไม่รู้แปลว่าอะไรบ้างเพราะอ่านไม่ออก แต่เท่าที่รู้คือคล้าย ๆ ซองผ้าป่าทำบุญบ้านเรา รีบเดินหนีก่อนจะโดนไถเงิน ... มาวันแรกนอกจากกระเป๋าหาย ก็โดนไถเงินซะแล้ว ชีวิตน่าตื่นเต้นมาก
นั่งรอจนรถมารับเดินทางไปที่พัก ระหว่างนั่งรถก็ได้คุยกับคนขับรถ ถามนู่นนี่ ถามเขาเชียร์ทีมอะไร พร้อมชมเมืองไปด้วย ได้พูดคุยกับคนขับรถตลอดทางตั้งแต่สนามบิน จนในที่สุดก็ถึงที่พัก ซึ่งที่พักโลเคชั่นดีมากใจกลางเมือง บนเส้นถนน แกรน เบียร์ ของ มาดริด ข้าง ๆ กับโรงแรมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ รอบด้านพร้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งมากมาย จากนั้นเข้าพักผ่อนก่อนที่จะลุยกิจกรรมที่ทาง ลาลีกา จัดไว้ให้ เริ่มวันแรกเมื่อได้พบนักข่าวชาติอื่น ๆ แนะนำตัวกันแล้วจากนั้นทั้งหมดก็เดินทางไปเฮดควอเตอร์ของ ลาลีกา ได้พบกับประธาน ลาลีกา อย่าง ฆาเบียร์ เตบาส ทุกคนได้มีโอกาสถามคำถามประธานใหญ่ของ ลาลีกา หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมกิจกรรม Together vs Racism ต่อต้านการเหยียดผิว และกลับโรงแรม ก่อนปิดท้ายคืนนี้ด้วยปาร์ตี้ต้อนรับบรรดานักข่าว
สำหรับการไป สเปน ครั้งนี้แน่นอนคือการเป็นตัวแทนขอบคนไทย ที่ต้องไปร่วมทริปกับนักข่าวชาติอื่น ๆ ดังนั้นเราต้องพร้อมในทุก ๆ เรื่องทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงพร้อมทั้งในเรื่องภาษา ที่ต้องใช้ในสื่อสารกับต่างชาติ ซึ่งตัวเองก็ห่างหายจากการพูดภาษาอังกฤษประจำมานาน การพูดมีตะกุกตะกักบ้างในช่วงวันแรกด้วยความที่ไม่ได้ใช้นาน นักข่าวชาติที่มาร่วมภารกิจในครั้งนี้ก็มาจากหลายชาติ ทั้ง เม็กซิโก, โคลอมเบีย, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, อิตาลี, กาตาร์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, เซาธ์แอฟริกา, บราซิล และ อังกฤษ จากสื่อใหญ่อย่าง BBC และ Independent บรรดานักข่าวทุกคนใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
วันที่ 2 ใน สเปน :
วันต่อมาร่างกายเริ่มปรับตัวเข้ากับอากาศใน สเปน ซึ่งอากาศเย็น ครึ้มฝน และมีลม ต้องใส่เสื้อ 2 ชั้นถึงจะอุ่น โปรแกรมในวันที่ 2 นี้ ได้มีโอกาสไปทัวร์สนาม ซานติอาโก้ เบร์นานเบว ซึ่งอยู่ในระหว่างการปรับปรุง กำหนดแล้วเสร็จในช่วงเดือนมกราคม 2023
หลังจากทัวร์สนาม ก็รับประทานอาหารกลางวันต่อด้วยพบกับ 2 อดีตนักเตะ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด อย่าง ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า และ ซาวิโอ บอร์โตลินี่ ปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยดินเนอร์กับเหล่าเพื่อน ๆ นักข่าวต่างชาติ และตกดึก ก็มีโอกาสได้เดินชมเมืองยามค่ำคืน กับพี่ชาวไทยที่อาศัยอยู่ที่ สเปน ได้เห็นว่าวิถีชีวิตกลางคืนของชาว มาดริด ซึ่งต้องบอกว่าชีวิตของบรรดาวัยรุ่น และชาว มาดริด ตอนกลางคืนเริ่มตั้งแต่ช่วง 4 ทุ่ม เป็นต้นไป ที่นี่ตี 2 ยังคงต่อแถวเข้าผับบาร์กันอยู่ แบบชิลล์จัดเลยทีเดียว
ต่อพาร์ท 2 : คลิก
- เปี๊ยกบางใหญ่ -
