เหตุใดแข้งดังถึงมีข่าวเตรียมย้ายออกจาก "ซาอุดิ โปรลีก" ?

อย่างที่แฟนบอลรู้กันว่าฟุตบอลลีกในประเทศ ซาอุดิอาระเบีย กำลังก่อร่างสร้างตัว พร้อมอยากยกระดับตัวเองกลายเป็นหนึ่งในลีกระดับโลกที่มีสตาร์ชื่อดังโยกย้ายมาค้าแข้ง

ไล่มาตั้งแต่ดีลใหญ่ที่ อัล นาสเซอร์ ดึงตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาร่วมทีม ตอนนั้นลีกในประเทศได้รับกระแสนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องของตั๋วการแข่งขัน ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวกับ อัล นาสเซอร์ และสตาร์รายนี้ รวมไปถึงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่หลายๆ ประเทศดึงสัญญาณไปถ่ายทอดสด

แน่นอนดีลของ โรนัลโด้ เหมือนเป็นการเบิกทางของอีกหลายๆ สโมสรในการขยับเดินหน้าทาบทามดาวเตะระดับสตาร์จากยุโรป ในชนิดที่ว่าพร้อมทุ่มเงินในจำนวนมหาศาล ทั้งเรื่องของค่าตัว หรือค่าเหนื่อย พร้อมไม่สนใจนักเตะคนนั้นอายุจะมาก หรือน้อยมากขนาดไหน

สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยคือในเม็ดเงินคือสิ่งที่ล่อตาล่อใจเหล่านักเตะได้เป็นอย่างดี ค่าเหนื่อยในระดับ 100,000 ปอนด์ขึ้นไปกลายเป็นตัวเลขธรรมดากับลีกนี้ โดยเฉพาะ อัล ฮิลาล, อัล นาสเซอร์, อัล อาห์ลี และ อัล อิตติฮัด ที่มีกำลังซื้อมากกว่าเดิม จากการเข้ามาเทคโอเวร์ของกลุ่มทุน PIF

ฉะนั้นเราจึงได้เห็นการพาเหรดมาของนักเตะดังๆ ที่กระจายไปอยู่ในแต่ละสโมสร

อย่าง อัล นาสเซอร์ ก็ไปดึง ซาดิโอ มาเน่, มาร์เซโล่ โบโซวิช, อเล็กซ์ เตลลิส หรือ โอตาวิโอ้ มาร่วมทีม ซึ่งจากลิสต์ที่กล่าวมาค่าตัวทะลุ 100 ล้านยูโรไปแล้ว

หรือ อัล ฮิลาล จ่าฝูงของลีกในตอนนี้ก็ดึงดูดสตาร์หลายคนมาเป็นสมาชิก และหลายๆ รายก็เซอร์ไพรส์ไม่น้อยอย่าง รูเบน เนเวส, เซอร์เก มิลินโควิช-ซาวิช, อเล็กซานดาร์ มิโตวิช, มัลคอม หรือไม่เว้นกระทั่ง เนย์มาร์

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายสโมสรที่ดีลนักเตะดังอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, คาริม เบนเซม่า, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ริยาด มาห์เรซ หรือแม้กระทั่งดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองจากทีมในยุโรปอย่าง กาบรี้ เบก้า รวมอยู่ด้วย

แรงคาดหวังของผู้ลงทุนคือต้องการสร้างอาณาจักรของ ซาอุดิ โปรลีก ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และแนวทางการดึงสตาร์ดังมาร่วมลีกก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และมันก็ตอบโจทย์กับที่ต้องการ เพราะทั้งสื่อ หรือแฟนบอล ต่างจับจ้องมาที่พวกเขาแบบไม่อาจปฏิเสธได้

เพราะอย่างในเรื่องการขายลิขสิทธิ์ถ่านทอดสดทาง ซาอุดิ โปรลีก ได้มอบหมายให้ IMG เข้ามาดูแลทั้งหมด จนสามารถขาย และถ่ายทอดไปยังช่องทีวีดังๆ ในยุโรปไม่ว่าจะเป็นใน โปรตุเกส, ฝรั่งเศส หรือ สเปน

ทุกอย่างช่วงเริ่มแรกมันดูจะหอมหวาน และดูดีไปหมด การแข่งขันมีความสนุกมากขึ้นจากการได้นักเตะที่มีคุณภาพ ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปกลายเป็นว่ากระแสข่าวที่นักเตะดังๆ หลายคนอยากย้ายออกจาก ซาอุดิ โปรลีกฯ มันก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ

จุดนี้ต้องบอกกันว่าต่างคนต่างสถานการณ์กันออกไป แต่จุดหมายคือคล้ายๆ กันคือการกลับมาเล่นในยุโรปที่คุ้นชินอีกครั้ง

ในเคสของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ อัล อาห์ลี ส่วนหนึ่งอาจเพราะผลงานในสนามของเจ้าตัวที่ไม่ได้ดีนัก ซัดไปเพียง 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดเกิดตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนาม ก่อนเท้าบอดติดต่อกันมาแล้ว 18 เกม จนเกิดความไม่พอใจจากกลุ่มแฟนบอล 

ส่วนหนึ่งคงต้องยอมรับว่าตัวเลขประตูที่ ฟีร์มีโน่ ผลิตได้นั้นมันน่าผิดหวัง และยิ่งมาบวกกับการที่โดนแฟนบอลกระหน่ำวิจารณ์เลยกลายเป็นปัจจัยที่มีข่าวว่าเจ้าตัวอาจย้ายกลับมาเล่นในยุโรปอีกครั้ง

 

รายต่อมาอย่าง คาริม เบนเซม่า เจ้าของรางวัล บัลลง ดอร์ ที่ย้ายไปเล่นให้ อัล ฮิติฮัด แน่นอนว่าเขาถูกคาดหวังจากแฟนบอลในเรื่องการเข้ามาสร้างอิมแพ็คต่างๆ ซึ่งถ้าวัดจากตัวเลขดาวยิงรายนี้ก็ไม่ได้น่าผิดหวังเลยด้วยซ้ำ ซัดไปแล้ว 15 ประตู ในทุกรายการ

ทว่าด้วยผลงานของทีมที่ไม่ดีนัก รั้งอันดับ 7 ของตาราง เบนเซม่า ในตอนนี้เหมือนแพะที่ถูกโจมตีว่าไม่สามารถยกระดับทีม หรือก้าวขึ้นไปอยู่หัวตารางเพื่อลุ้นแชมป์ จนมีแฟนบอลตั้งฉายาให้ เบนเซม่า ว่าเป็น ‘บุตรแห่งความพ่ายแพ้’ ก่อนมีกระแสข่าวว่าอาจเป็นอีกรายที่จะย้ายออกจาก ซาอุดิ โปรลีก

คนต่อมาเพิ่งมีกระแสไปเมื่อเร็วๆ นี้คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จาก อัล เอตติฟาค ทว่าชีวิตที่ ซาอุฯ ไม่ได้แฮปปี้อย่างที่คิดทั้งเรื่องของวัฒนธรรมต่างๆ รวมไปถึงแพชชั่นในการเล่นฟุตบอลที่ต่างไปจากสมัยค้าแข่งในยุโรป

แม้จะได้ค่าเหนื่อยมหาศาลตกสัปดาห์ละ 700,000 ปอนด์ แต่การดำเนินชีวิตที่นั่นแตกต่างไปจากเดิมทั้งอาหารการกิน, การใช้ชีวิต หรือแม้แต่สภาพอากาศที่ปรับตัวค่อนข้างยาก

ทั้งนี่ยังรวมไปถึง โชต้า ที่ย้ายมา อัล อิติฮัด แต่ทีมไม่สามารถลงทะเบียนได้ เนื่องด้วยโควต้าต่างชาติ 8 ราย ถูกใช้ไปกับคนอื่นหมดแล้ว แม้จะเป็นนักเตะค่าตัวแพง แต่ในเมื่อไม่มีพื้นที่ และโอกาสลงสนามทำให้เขาเองต้องหาทางออกจึงเป็นที่มาของโอกาสย้ายทีมในเร็วๆ นี้ 

ในเคสของ โชต้า มันบ่งบอกได้ถึงการจัดการที่ล้มเหลวของสโมสร ที่ส่งผลกระทบมาถึงนักเตะแบบหลีกเลียงไม่ได้ 

จากนักเตะที่กล่าวมาปัจจัยใหญ่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของเงินเพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะต้องยอมรับว่าแม้จะได้ในจำนวนมหาศาล แต่กับการดำเนินชีวิตต่างๆ มันเหมือนพลิกฝ่ามือไปอีกด้าน

ประเด็นแพชชั่นที่กล่าวไปข้างต้นก็สำคัญ แม้จะมีสตาร์ดังขับลีกแต่ความสนใจฟุตบอลของคนในประเทศไม่ได้เติบโตตามไปด้วย อย่าง อัล เอตติฟาค ของ เฮนเดอร์สัน มีผู้ชมเฉลี่ยแค่ราวๆ 7,000 คนต่อเกม หรือบางเกมที่พวกเขาลงเล่นมีคนตีตั๋วเข้าสนามเพียง 250 คนเท่านั้น

อีกอย่างคือความคาดหวังจากตอนแรกแฟนบอลที่แห่มาต้อนรับกันอย่างล้นหลาม ทว่าพอทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่ต้องการ กระแสกลับตาลปัตรโจมตีไปที่ตัวนักเตะ ในรูปแบบที่ เบนเซม่า กำลังเผชิญ

ปัจจัยต่อมาคือเรื่องของการใช้ชีวิตที่ต้องยอมรับว่า ซาอุฯ ยังไม่ได้เปิดกว้างในหลายๆ เรื่อง 

ประเด็นนี้นักข่าวอย่าง เบน จาค็อบบ์ ได้ออกมาเผยว่าการใช้ชีวิต และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่นี่ค่อนข้างยาก ถ้าคุณอยากจะเปิดโลก หรือเปิดกว้างเรื่องของวัฒนธรรมก็ต้องเดินทางกว่า 100 กิโลเมตร เพื่อไปยังประเทศบาห์เรน เพราะที่นั่นมีคสามหลากหลาย และจำหน่ายเรื่องของแอลกอฮอลล์ได้ด้วย

อีกอย่างคือสภาพอากาศที่ช่วงเปิดซีซั่นอุณหภูมิขึ้นสูงไปแตะ 40 องศา แน่นอนนักเตะที่เล่นอยู่ในยุโรปไม่เคยเจอสถานการณ์ในรูปแบบนี้ แม้ปัจจุบันอากาศที่ลดลงมาเหลือ 22-27 องศา แต่การใช้ชีวิตก็ยังคงต่างไปจากที่ยุโรปอยู่ดี

ฉะนั้นถ้าเอาเหตุต่างๆ มารวมกันมันก็พอจะบ่งบอกว่าได้ทำไมนักเตะบางคนถึงมีความคิดอยากจะย้ายออกจาก ซาอุดิ โปรลีก ทั้งที่ได้ค่าเหนื่อยในระดับมหาศาล และคงไม่มีที่ไหนกล้าจ่ายในระดับเดียวกันนี้ได้อีกแล้ว

แต่ทั้งนี้ชีวิตนักฟุตบอลบางทีมันต้องควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของครอบครัวที่ต้องวางแผน ทั้งตัวเอง และลูกๆ ที่อาจเดินไปอยู่ด้วย

จากนี้น่าสนใจว่า ซาอุดิ โปรลีก จะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าพวกเขาจะยังคงเดินหน้าดีลสตาร์ดังๆ มาค้าแข้งในลีกแห่งนี้ต่อไปแน่ 

แน่นอนว่าฟุตบอลใน ซาอุดิอาระเบีย คือหนึ่งในยุทธศาสตร์ใหญ่ Vision 2030 ของประเทศที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจ และกับซาอุดิ โปรลีก ที่พวกเขาต้องการยกระดับให้มีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม

เพียงแต่ว่าจากประสบการณ์ของนักเตะที่ย้ายไปเล่น อาจมีรีแอ็คชั่นบางอย่างจากผู้ไปสัมผัสจริงๆ มาให้คิดพิจารณากันอีกครั้งกับเพื่อนคนอื่นๆ ถึงการตัดสินใจเดินทางสู่ ซาอุดิ โปรลีก