logo-heading

เพิ่งผ่านพ้นช่วงคิงส์คัพ 2018 ไปไม่นาน ยังคงมีควันคุกรุ่นหลงลอยไปลอยมาให้พูดถึงกันอยู่เนืองๆ มีหลายเรื่องที่น่าชื่นชม ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ทั้งเรื่องกองเชียร์เต็มสนาม, ฟอร์มของทีมชาติไทย ที่คว้ารองแชมป์แบบน่าประทับใจ และ การกลับมาจาก เจ ลีก ของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ รวมถึงสิ่งที่ผมจะพูดถึงวันนี้ นั่นคือ ฟอร์มของดาวเตะที่ชื่อว่า “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์”

ไล่ตัดเกมคู่แข่งอย่างถึงพริกถึงขิง, กัดไม่ปล่อย, พาบอลตะลุยไปข้างหน้าอย่างเมามันส์ ทุกครั้งที่ได้บอล, มีจังหวะกระชากหนีนักเตะสโลวาเกียแล้วซัด, ใช้พลังงานในแบบไม่มีวันหมด, เปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุกได้ในจังหวะตัดเกมเพียงเสี้ยววินาที … ทั้งหมดคือสิ่งที่เราได้เห็นจากสองเกมในการพบ กาบอง และ สโลวาเกีย ของ “เจ้านิว” ซึ่งไม่ใครก็ใครต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เมืองไทย จริงๆ” ทั้งท่วงท่า ทั้งสไตล์การเล่น ที่เหมือนกันอย่างมาก และผลงานโดยภาพรวมของ “เจ้านิว” ตลอดคิงส์คัพ ครั้งนี้ ก็ทำให้แฟนบอล รวมถึง มิโลวาน ราเยวัช ถึงกับเอ่ยปากชม พร้อมยกยอว่า น่าจะกลายเป็นผู้เล่นไทยคนต่อไปที่ได้โอกาสไปเล่นที่ต่างประเทศด้วยซ้ำ เพราะเราต้องใช้คนให้ถูกกับงาน (Put the right man on the right job) สำหรับ “เจ้านิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ ไพโรจน์ พ่วงจันทร์ อดีตแข้งจอมโหดของทีมชาติไทย… เขาแจ้งเกิดได้จากทัวร์นาเมนต์ รอบคัดเลือก ยู-19 ชิงแชมป์เอเชีย เมื่อปี 2011 เช่นเดียวกับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ จากลูกยิงไกลสุดสวย ระยะ 35 หลาโดยประมาณ ดับ เกาหลีใต้ 1-0 คาสนามเทพหัสดิน ครั้งนั้น ฐิติพันธ์ จุติเป็นที่รู้จักให้แฟนบอลได้ยลฝีเท้า ด้วยตำแหน่งกองกลาง Box-To-Box แบบนี้เช่นเดียวกัน โดยมี ธนบูรณ์ เกษารัตน์ คอยเล่นเกมรับ และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ คอยสร้างสรรค์เกมรุก ซึ่งทำให้เขาฉายแววของที่มีในตัวออกมาอย่างหมดสิ้น จนสร้างผลงานมาสเตอร์พีซ ยิงดับเกาหลีใต้ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้น โลกของฟุตบอล ก็ได้นำพาเขาไปอยู่สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และถูกส่งไปชุบตัวที่ สุพรรณบุรี เอฟซี ในการยืมตัว ซึ่งดูเหมือนว่า เขาจะไม่ได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัดสักเท่าไรนัก เนื่องจากมีรุ่นพี่อยู่ ทำให้ต้องถอยตัวเองไปเล่นแบ็คขวาบ้าง ปีกขวาบ้าง หรือกองกลางตัวรับบ้าง และนั่นก็ทำให้ เขาถูกใช้งานในพื้นที่ที่ไม่ได้โชว์ของที่แท้จริงออกมา จนกระทั่ง “เจ้านิว” เกิดอาการบาดเจ็บอย่างหนัก เมื่อช่วงกลางปี 2014 ทำให้ดูเหมือนว่า ชีวิตการค้าแข้งของเขาจะหยุดอยู่กับที่มากกว่าเดินไปข้างหน้า เพราะเราต้องใช้คนให้ถูกกับงาน (Put the right man on the right job) จนกระทั่งวันหนึ่ง เชียงราย ยูไนเต็ด ก็ได้คว้าตัวเขาไปร่วมทีมเมื่อปี 2016 และการที่ทีมเชียงราย คว้าตัว ธนบูรณ์ เกษารัตน์ มาร่วมทีมในปี 2017 ก็ได้ทำให้เขาได้โอกาสเล่นในตำแหน่งที่ตัวเองถนัดที่สุดในชีวิตอีกครั้ง เหมือนกับไอดอลสูงสุดของเขาอย่าง “สตีวี่จี” (ช่วงแรกๆ เจอร์ราร์ด ก็ถูกให้เล่นหลายตำแหน่ง ทั้ง แบ็คขวา, ปีกขวา เหมือนกันเลย) ปี 2017 ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เปิดตัวด้วยการเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงแฮตทริกได้ตั้งแต่เกมแรกในนัดที่ “กว่างโซ้งมหาภัย” เปิดบ้านถล่ม ซุปเปอร์พาวเวอร์ 7-0 ก่อนถูก มิโลวาน ราเยวัช เรียกกลับมาติดทีมชาติไทยอีกครั้ง หลังจากที่เขาเข้ามาคุมทีม และแน่นอน อย่างที่เห็น ฐิติพันธ์ โดดเด่นต่อเนื่องทั้งกับ กว่างโซ้ง เมื่อซีซั่นที่แล้ว แล้วก็ในชุดช้างศึกจนถึงปัจจุบัน จะใช้งาน ฐิติพันธ์ มันไม่ต้องมีคู่มืออะไรมาก แค่ให้เขาเล่นในตำแหน่งที่ตัวเองถนัด ในตำแหน่งที่เขามั่นใจที่สุด ในตำแหน่งที่เขาอยากเล่นที่สุด ในตำแหน่งเดียวกับไอดอลของเขา แล้วเขาจะแสดงศักยภาพออกมาเอง เปรียบได้กับสุภาษิตสอนผู้นำที่เก่าแก่แต่ยังใช้งานได้เสมอที่ว่า “ต้องใช้คนให้ถูกกับงาน (Put the right man on the right job)” หรือแปลความหมายได้ว่า คนเป็นผู้นำต้องชาญฉลาดในการมองเห็นว่า งานชนิดใดเหมาะกับลูกน้องคนใด เพราะเราต้องใช้คนให้ถูกกับงาน (Put the right man on the right job) ย้อนกลับมาที่สโมสรต้นสังกัดปัจจุบันของ ฐิติพันธ์ อย่าง บางกอกกล๊าส เอฟซี ที่เจ้าตัวเพิ่งย้ายไปร่วมทีมด้วยค่าตัวมหาศาลนั้น ก็ถือว่า ยังไม่สามารถหาจุดลงตัวของระบบการเล่นที่จะทำให้ “เจ้านิว” โชว์ศักยภาพของตนเองออกมาได้สูงสุด ซึ่งก็เป็นการบ้านของทาง เฮ้ดโค้ช และทีมสต๊าฟฟ์ ที่คงได้เห็นฟอร์มของ ฐิติพันธ์ ช่วงคิงส์คัพ แล้วแหละว่า จะใช้งาน “นิว” ในแบบไหน ถ้าใช้งาน ฐิติพันธ์ ในตำแหน่งแบ็คขวา แบบในอดีต คุณก็จะได้แค่แบ็คขวาที่ดี ถ้าใช้งาน ฐิติพันธ์ ในตำแหน่งปีกขวา แบบในอดีต คุณก็จะได้แค่ปีกขวาที่ดี ถ้าใช้งาน ฐิติพันธ์ ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ (ในบางครั้ง) คุณก็จะได้กองกลางตัวรับที่โอเคคนหนึ่ง

แต่ถ้าใช้งาน ฐิติพันธ์ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ Box-To-Box แล้วหล่ะก็ คุณก็จะได้เห็น ฐิติพันธ์ในรูปแบบ “สตีวี่จี เมืองไทย” อย่างที่ได้สัมผัสกันในคิงส์คัพ 2018 ไงเล่า !!!

จอน

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline