logo-heading
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ แฟน ลิเวอร์พูล ได้ดื่มด่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ กับแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 6 ต่อด้วยแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ความสำเร็จในครั้งนั้นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเหล่า เดอะ ค็อป ทั่วโลก เพราะเป็นแชมป์หนแรกในรอบ 7 ปี ของสโมสร และเป็นแชมป์บิ๊กเอียร์หนแรกหลังห่างหายไปนานถึง 14 ปี ภายใต้การคุมทีมของผู้ชายธรรมดา Normal One ที่ชื่อว่า “เจอร์เก้น คล็อปป์” ตลอดช่วงเวลา 7 ปีที่ห่างหายแชมป์ทุกรายการ ได้แต่เพียงแค่เข้าใกล้แชมป์ลีกมากที่สุดเท่านั้นในช่วงยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส 3 ปีของเขากับลิเวอร์พูล ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นฤดูกาล 2013-2014 ที่เขาเคยพาหงส์แดงก้าวสู่การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเต็มตัว แต่จากเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าสะดุดขาตัวเอง ทำให้หงส์แดงพลาดโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2015 ผลเสมอ 1-1 ในการบุกไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค เป็นฟางเส้นสุดท้ายระหว่างบอร์ดบริหารของลิเวอร์พูล กับผู้จัดการทีม เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ซึ่งหลังจบเกมไม่กี่ชั่วโมงได้มีแถลงการณ์ปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการ เป็นอันสิ้นสุดช่วงเวลา 3 ปีกับทีมหงส์แดง ท่ามกลางความสับสนของแฟนบอล และความปรารถนาที่จะกลับมายิ่งใหญ่ เดอะ ค็อป ได้แต่สงสัยว่าใครจะมาเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์เหล่านั้นต่อจากนี้ กุนซือคนไหนที่จะอยากมารับเผือกร้อนงานนี้ ชื่อของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือผู้พา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา 2 สมัย, แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล, แชมป์ เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ 3 สมัย และเคยพาดอร์ทมุนด์เข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อีกหนึ่งครั้ง กลายเป็นเต็งหนึ่งที่แฟนบอลโหยหา จนกระทั่งไม่กี่วันต่อมา 8 ตุลาคม 2015 ความต้องการของ แฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็เป็นจริง เมื่อสโมสรประกาศแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือเฮฟวี่เมทัลชาวเยอรมันนั่งแท่นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการกับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของ ลิเวอร์พูล ชายธรรมดา ๆ คนนี้ เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม การแถลงข่าวเปิดตัวเป็นครั้งแรกต่อหน้าสื่อมวลชน เขาพร้อมทวงความยิ่งใหญ่กลับมาให้เหล่าสาวกเดอะ ค็อป ได้ชื่นใจอีกครั้งภายในเวลาไม่เกิน 4 ปี พร้อมกับประโยคเด็ดใจความว่า “สิ่งแรกที่ผมจะทำในการเข้ามาคุมทีม นั่นคือการเปลี่ยนแฟนบอลที่ไร้ความมั่นใจในทีม กลับมาเป็นผู้ที่เชื่อและศรัทธาต่อทีมอีกครั้ง We have to change from doubters to believers” "มันเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ในการเข้ามารับงานที่นี่ สำหรับผมแล้วนี่คือสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นโอกาสที่ดีในการพาทีมหลุดพ้นจากสถานการณ์อันยุ่งยาก มันอาจจะไม่มีช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบเท่าไร แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีและผมรู้สึกภูมิใจมากๆ" "ผมเป็นเพียงแค่ผู้จัดการทีมปกติธรรมดาคนหนึ่งที่พร้อมจะทำงานหนักให้กับทีมทั้งในและนอกสนาม เมื่อผมตัดสินใจเดินออกมาจาก ดอร์ทมุนด์ ผมรู้สึกได้ทันทีว่ามันไม่สำคัญอะไรเลยว่าผู้คนจะคิดอย่างไรเมื่อคุณเดินเข้ามารับงาน แต่มันสำคัญตรงที่ผู้คนจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณเดินจากไป" "ได้โปรดให้เวลากับผม ถ้าคุณมีความอดทนมากพอ และหากเราสามารถเตรียมความพร้อมให้กับทีมได้สมบูรณ์มากที่สุด ลิเวอร์พูลจะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง ซึ่งถ้าผมยังได้นั่งอยู่ตรงนี้ภายใน 4 ปี เราจะกลับมาเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง" และนี่คือคำมั่นสัญญาที่ชายคนนี้ให้ไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพียงแค่ช่วงไม่ถึงปีที่ คล็อปป์ เขาเข้ามารับงานเผือกร้อนต่อจาก ร็อดเจอร์ส เขาทำให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล มีศรัทธาอีกครั้ง เมื่อพาทีมทะลุเข้ารอบชิง ลีกคัพ และ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก แม้ว่าผลจะจบลงด้วยความผิดหวัง แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการสร้างกรุงโรมเท่านั้น ตามคำคมที่ว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ช่วงฤดูกาลแรก ของ คล็อปป์ กับการได้คุมทีม ลิเวอร์พูล แบบเต็มปี อาจไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือ ท่ามกลางเสียงที่แตกออกเป็น 2 ฝ่ายของแฟนบอล ว่าตกลงแล้วชายธรรมดาผู้นี้คือของจริง คืออัศวินที่มากอบกู้ทีมจริงหรือไม่ แต่ทว่าหากดูที่ผลงานเขาค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงทีมทีละนิด และพา ลิเวอร์พูล กลับสู่เวทียุโรปในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้ง เข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 เขาปลุกเครื่องจักรสีแดงให้กลายมาเป็นทีมน่าเกรงขามอีกครั้งทั้งเวทียุโรป เรียกศรัทธาจากแฟนบอล ด้วยการพา ลิเวอร์พูล ทะลุสู่รอบชิงชนะเลิศไปดวลกับ เรอัล มาดริด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2017/2018 ที่ประเทศยูเครน แต่ทว่ายังไม่ถึงฝั่งฝัน หลายปัจจัยความผิดพลาดต่าง ๆ ทำให้ คล็อปป์ ยังคงไม่ได้แตะแชมป์กับ ลิเวอร์พูล แม้ว่าจะต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แฟนบอลเริ่มแตกออกเป็น 2 เสียง แต่ส่วนใหญ่ยังคงศรัทธาและหนุนหลัง จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 ความสำเร็จที่พวกเขารอคอยก็มาถึงกับการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดแรก ลิเวอร์พูล บุกไปพ่าย บาร์เซโลน่า แบบเละเทะ 0-3 ความหวังในการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศริบหรี่ แต่ทว่าตราบใดที่ยังไม่หมดเวลาทุกปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาเอาชนะ บาร์เซโลน่า ได้ถึง 4-0 ในสนามแอนฟิลด์ ได้อย่างยิ่งใหญ่ ปลุกพลังและศรัทธาจากแฟนบอลได้อย่างท่วมท้น ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศบิ๊กเอียร์อีกครั้ง และท้ายที่สุดชายธรรมดาคนนี้ก็ทำตามสัญญาที่เคยลั่นวาจาไว้ ประกาศศักดาแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ด้วยการเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-0 คว้าแชมป์สมัยที่ 6 มาครองได้สำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์เรียกความศรัทธาจากแฟนบอลทั่วโลก พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคืออัศวินผู้ปลุกเครื่องจักรสีแดงให้ตื่นขึ้นที่แท้จริง ผลงานที่ผ่านมาของ เจอร์เก้น คล็อปป์ พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือกุนซือระดับท็อปของโลก ด้วยบุคคลิกภาพ จิตวิทยาการทำทีมที่ได้ใจนักเตะ การวางแผน อารมณร่วมกับเกม ความรักที่เขามีต่อสโมสร และแฟนบอล ทำให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งกุนซือที่ เดอะ ค็อป ทั่วโลกเทใจให้ ช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาชายธรรมดาผู้นี้ทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ไม่ธรรมดา แทวทางการทำทีมชัดเจนขึ้นสำหรับการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ ใครที่ไม่เคยเห็นเครื่องจักรสีแดงในอดีต คงพอเริ่มเห็นภาพบ้าง เหนือสิ่งอื่นใดที่ เดอะ ค็อป อยากเห็นคงหนีไม่พ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่พวกเขาห่างหายและรอคอยมาอย่างยาวนี้ ฤดูกาลนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกปีที่ ลิเวอร์พูล มีลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว ด้วยตารางคะแนนที่ไม่หลอกใคร ภารกิจในฤดูกาลนี้ยังคงท้าทายและยากยิ่งขึ้นในการที่จะทำให้ได้ดีกว่าฤดูกาลที่มหัศจรรย์เมื่อปีที่แล้ว ไม่นับการต่อกรกับสุดยอดทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ถึงจะยาก เชื่อว่าด้วยทีมงานและวิธีทำงานแบบ คล็อปป์ ลิเวอร์พูล จะยังคงโบยบินอย่างสง่าผ่าเผย แต่จะโบยบินได้ไกล และสูงแค่ไหน ให้วันเวลาเป็นคำตอบแทน - เปี๊ยกบางใหญ่ -
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline