logo-heading

รูเบน ดิอาส ได้กลายเป็นนักเตะในแนวรับอีกคนที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซื้อตัวเข้ามาเสริมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และครั้งนี้ทีมได้ทุบคลังควักเงินมากถึง 62 ล้านปอนด์ในการปิดดีลเซ็นเตอร์ฮาร์ฟชาวโปรตุเกสผู้นี้

ซึ่งนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลนี้มาปัญหาของ "เรือใบสีฟ้า" ที่เด่นชัดนั้นก็คือเรื่องของเกมรับที่ดูเหมือนขุมกำลังที่มีอยู่มันจะยังไม่เพียงพอ และแข็งแกร่งพอในการกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ในฤดูกาลนี้  ซึ่งถ้าเราลองไล่เรียงดูนับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์โอล่า เข้ามาคุมทัพ แมนฯ ซิตี้ เจ้าตัวทะลุเงินซื้อผู้เล่นเกมรับไปแล้วกว่า 400 ล้านปอนด์ ว่าแล้วเราก็ลองมาดูกันหน่อยว่าเงินจำนวนดังกล่าวมันแปรเปลี่ยนมาเป็นใครกันบ้าง และแต่ละคนมันคุ้มค่ามากขนาดไหน จอห์น สโตนส์ (จาก เอฟเวอร์ตัน) ราคา : 47.5 ล้านปอนด์ ย้อนกลับไปเมื่อช่วงตลาดซัมเมอร์ปี 2016 ขวบปีแรกที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แลนดิ้งลงมายังศึกพรีเมียรลีก อังกฤษ โดยในตอนนั้นขุมกำลังหลังบ้านของทัพ "เรือใบสีฟ้า" มีเซ็นเตอร์ฮาร์ฟตัวจริงยืนคู่กันอยู่แล้ว 2 คนนั้นก็คือ แว็งซองต์ กอมปานี กับ นิโคลัส โอตาเมนดี้ ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 หน่อนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจของ เป๊ป อีกทั้งมันยังไม่แข็งแกร่งมากพอ  ว่าแล้วทีมเลยทุบคลังจำนวน 47.5 ล้านปอนด์ เพื่อไปคว้าตัว จอห์น สโตนส์ ปราการเนื้อหอมของ เอฟเวอร์ตัน มาครอง ซึ่งในตอนนั้น สโตนส์ กำลังอยู่ในวัยที่กำลังห้าวหาญเพียง 22 ปีเท่านั้น และนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ สโตนส์ ลงสนามในสีเสื้อของ แมนฯ ซิตี้ ไปแล้วทั้งสิ้น 134 นัด และก็ยังคงเป็นขุมกำลังหลักของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงแม้ในตอนนี้บทบาทอาจไม่ใช่ตัวเลือกลำดับแรกๆ แต่ก็ยังเป็นแข้งที่ทีมขาดไปไม่ได้เช่นกัน  เบนฌาแม็ง เมนดี้ (จาก โมนาโก) ราคา : 52 ล้านปอนด์ ภายหลังจบฤดูกาลแรกของ เป๊ป ที่อังกฤษนั้นต้องพบเจอกับความล้มเหลว จบเพียงอันดับ 3 ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ทำให้เจ้าตัวต้องเดินหน้าเสริมทัพอีกระลอกใหญ่ ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่ต้องแก้ไขโดยด่วนนั้นก็คือตำแหน่งแบ็คซ้ายเพราะนักเตะเก่าอย่าง อเล็กซานเดอร์ โคราลอฟ กับ กาแอล กลิชี่ ได้โบกมือลาทีมไป ทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ เลยไปคว้าตัว เบนฌาแม็ง เมนดี้ แข้งฟอร์มเด่นของ โมนาโก ในตอนนั้นมาร่วมทัพด้วยราคา 52 ล้านปอนด์ แต่ทว่าดูเหมือนเงินที่ลงทุนไปกับผลที่ตอบแทนมันจะยังดูไม่คุ้มค่าเท่าไหร่เพราะเริ่มต้นซีซั่น เมนดี้ ก็จองเตียงโรงพยาบาลรักษาตัวตั้งแต่หัวรุ่ง ทำให้ฤดูกาลแรกของเขากับทัพ "เรือใบสีฟ้า" ได้โอกาสลงสนามเพียง 9 นัดเท่านั้น ทำให้นับมาจนถึงปัจจุบันกว่า 3 ปี เมนดี้ ลงสนามให้ ซิตี้ ไปเพียง 56 นัดเท่านั้น ซึ่งถ้ามองจากเงินลงทุนมันยังไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน ไคล วอล์คเกอร์ (จาก ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์)  ราคา : 45 ล้านปอนด์ ไม่ใช่เพียงแบ็คซ้ายเท่านั้นที่ เป๊ป ต้องการหาใครสักคนมาอุดรอยรั่ว แต่โยกมาอีกด้านแบ็คขวาก็เป็นตำแหน่งที่เจ้าตัวมองว่าต้องลงทุน และหวังผลได้ในระยะยาว ซึ่งในช่วงนั้นชื่อของ วอร์คเกอร์ ถือว่าได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากว่าคือแบ็คจอมบุก ที่ทำได้ดีทั้งรับ และรุก ซึ่งมีหรือที่ ซิตี้ จะปล่อยให้หลุดมือ ว่าบอร์ดบริหารเลยทุบคลังเอาเงินจำนวน 45 ล้านปอนด์ ไปให้ สเปอร์ส เพื่อปิดดีลแบ็คขวาดีกรีทีมชาติอังกฤษผู้นี้ ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ผลงานของ วอร์คเกอร์ ถือว่าสม่ำเสมอมากพอสมควร และเป็นแนวรับคนนึงที่ถูกขนานนามว่าคุ้มค่ามากับการลงทุนไป เพราะนอกจากผลงานในสนามแล้ว เขายังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมในการไล่ล่าความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ว่าแล้ว วอล์คเกอร์ ก็สอบผ่านแบบฉลุยกับการซื้อแนวรับของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดานิโล่ (จาก เรอัล มาดริด) ราคา : 26.5 ล้านปอนด์ อีกหนึ่งแนวรับที่ถูก เป๊ป ดึงเข้ามาในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 นั้นก็คือ ดานิโล่ ฟูลแบ็คสารพัดประโยชน์ที่สามารถโยกไปเล่นได้ทั้งซ้าย และขวา แม้แต่เซนเตอร์ฮาร์ฟก็เคยถูกหุบเข้าไปเล่นมาแล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปี ในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ดานิโล่ ได้โอกาสลงสนามไปทั้งสิ้น 60 นัด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ 2 สมัย  แต่ทว่าเขาเปรียบเสมือนผู้ที่ติดทองหลังพระอย่างแท้จริง เนื่องด้วยไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากเท่าไหร่ทั้งที่คือนักเตะที่ถูกส่งลงสนามมากพอสมควร จนกระทั่งปี 2019 เจ้าตัวก็ได้ย้ายออกไปค้าแข้งกับ ยูเวนตุส แบบเงียบๆ โดยเป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอคว้าตัว เจา คันเซโร่ เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ (จาก แอธ.บิลเบา) ราคา : 57 ล้านปอนด์ หลังจากจัดหนักจัดเต็มคว้าผู้เล่นในแนวรับมาถึง 3 คนในช่วงตลาดซัมเมอร์ แต่ดูเหมือน เป๊ป เองจะไม่หนำใจ และพอใจกับขนาดของทีมนักในแผนกเกมรับที่มีอยู ว่าแล้วเขาเลยแทงเรื่องไปถึงบอร์ดบริหารให้ทุบคลังอีกครั้งด้วยจำนวนเงิน 57 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติซื้อตัวแพงสุดของสโมสรในขณะนั้น เพื่อไปคว้าตัว เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ มาจาก แอธ.บิลเบา เพื่อหวังนำเข้ามาเป็นแกนหลักของทีม  โดยการได้แนวรับเชิงสูงผู้คนเข้ามาสู่ทีมถือว่าตอบโจทย์ได้ไม่ใช่น้อย เพราะ ลาป๊อร์กต์ สามารถเข้ามาเป็นเซ็นเตอร์ฮาร์ฟตัวหลักของทีมได้เลย และโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นอีกแข้งที่ราคาอาจจะสูงแต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และความคุ้มค่า แต่สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเริ่มเป็นปัญหาสำหรับเจ้าตัวแล้วนั้นก็คืออาการบาดเจ็บที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วทำให้เขาพลาดการลงสนามไปนานกว่า 4 เดือน เจา คันเซโล่ (จาก ยูเวนตุส) ราคา : 60 ล้านปอนด์ จากผลงานที่ยอดเยี่ยมในสีเสื้อของ ยูเวนตุส ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ยอมจ่ายเงินในระดับที่สูงถึง 60 ล้านปอนด์ พร้อมกับส่ง ดานิโล่ ในข้อสัญญาเพื่อคว้าตัวแบ็คขวาผู้นี้มาเสริมทัพ ทั้งที่ในตำแหน่งดังกล่าวทีมมี ไคล์ วอร์คเกอร์ ยึดหมายเลข 1 ในตำแหน่งนี้อยู่แล้ว ซึ่งการเข้ามาของ คันเซโล่ เจ้าตัวรู้ดีว่ามันไม่ง่ายในการเบียดแบ็คทีมชาติอังกฤษ แต่ทว่า เป๊ป ก็สามารถหมุนเวียนแบ็คฝีเท้าเยี่ยมทั้ง 2 ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นการจัดการที่ดีมากเพื่อไม่ให้นักเตะต้องช้ำกับโปรแกรมที่เตะกันแบบถี่ยิบ และกับฟุตบอลสไตล์ เป๊ป การมีแบ็คอัพดีๆ คอยหมุนเวียนมันช่วยได้เป็นอย่างดี  แต่ถ้าย้อนไปมองเรื่องของตัวเลขค่าตัวกับผลงานที่เจ้าตัวแสดงออกมา ถึงตรงนี้ว่ากันตามตรงมันก็ยังไม่คุ้มค่าแน่ๆ แต่ในอนาคตกับอายุของ คันเซโล่ ที่เพิ่ง 26 ปี ก็มีโอกาสไม่น้อยในการค้าแข้ง และสร้างประโยชน์ให้กับทีมในอนาคต นาธาน อาเก้ (จาก บอร์นมัธ)  ราคา : 41 ล้านปอนด์ อีกหนึ่งเซ็นเตอร์ฮาร์ฟป้ายแดงที่ทีมคว้าตัวมาเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 41 ล้านปอนด์ จาก บอร์นมัธ ซึ่งถ้าดูจากผลงานกับต้นสังกัดเดิมถือว่าเป็นปราการหลังที่มีชั้นเชิงเยี่ยม และน่าจะเข้ากับทีมได้เป็นอย่างดี โดยตอนนี้ อาเก้ ลงสนามให้ ซิตี้ ไปแล้ว 2 เกมในศึกพรีเมียร์ลีก แต่ยังไม่คงพาทีมเก็บคลีนชีตได้ ซึ่งก็ต้องมองกันยาวๆ ว่าการลงทุนกับเซ็นเตอร์ฮาร์ฟครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่

เปา ขอบสนาม

logoline