logo-heading

ทะยานขึ้นรองจ่าฝูงไปแล้วสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายหลังเกมเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาสามารถยัดเยียดความปราชัยให้กับ วูลฟ์แฮมป์ตัน ได้สำเร็จ จากประตูชัยในช่วงท้ายเกมของ มาร์คัส แรชฟอร์ด

ซึ่งภายใต้เกมที่อึดอัดตลอด 90 นาที กว่าจะได้ 3 คะแนนสุดสำคัญของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันมีหลากหลายประเด็นที่น่าหยิบยกมาพูดคุยกัน ว่าแล้วเราลองมาดูกันว่าจะมีจุดไหนบ้างที่น่าสนใจ ไปติดตามกันได้เลย

การจัดทัพ

เมื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงในวันนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกมาเชื่อว่าคงเป็นไปตามที่แฟนบอลคาดคิดไว้ว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องมีการปรับเปลี่ยนโรเตชั้นในบางตำแหน่งเนื่องจากโปรแกรมการแข่งขันค่อนข้างถี่ บวกกับนักเตะที่ได้บาดเจ็บ เกมนี้ ยูไนเต็ด เปลี่ยนผู้เล่นมากถึง 6 คน จากเกมที่ยุกเสมอ เลสเตอร์ เริ่มจากทีมได้ อารอน วาน-บิสซาก้า กลับมาประจำการแบ็คฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้าน อเล็กซ์ เตลลิส ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง แดนกลางวันนี้ปรับมาใช้ เนมานย่า มาติซ เล่นร่วมกับ ปอล ป็อกบา ส่วนเกมรุกวันนี้เปลี่ยนมาใช้ 3 ประสาน มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน กรีนวู้ด และ เอดินสัน คาวานี่ โดยมี บรูโน่ แฟร์นานเดส เป็นเพลย์เมคเกอร์ทำเกมอยู่ด้านหลังเช่นเดิม ส่วน วูลฟ์แฮมป์ตัน ของ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ได้ปรับมาเล่นหลัง 3 คนอีกครั้งประกอบไปด้วย แม็กซ์ คิลแมน, คอนเนอร์ โคดี้ และ โรแม็ง ซาอิส ส่วนเกมรุกด้านบนฝากความหวังไว้กับ เปโดร เนโต้, วิตินญ่า รวมไปถึง อดาม่า ตราโอเร่

เกมครึ่งแรกที่ชวนง่วง

อย่างที่กล่าวไปว่าการที่ วูล์ฟส์ มาเล่นด้วยการกองหลังถึง 3 คน มันเลยทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยากต่อการการเจาะเข้าไปยังพื้นที่สุดท้าย ส่วนมากฝั่งเจ้าบ้านจึงได้เป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า เปิดเกมรุกบุกเข้าใส่มากกว่าก็จริง แต่ทว่าจังหวะน้ำๆ เนื้อๆ ในการเข้าทำเป็นของฝั่งผู้มาเยือนเสียมากกว่า  และมีจังหวะได้เสียวในช่วงนาทีที่ 23 จากลูกฟรีคิกเปิดเข้าไป โรแม็ง ซาอิส ได้โหม่งแต่บอลเจ้ากำดันไปตกลงบนคาน ก่อนที่โอกาสใกล้เคียงสุดของ ยูไนเต็ด จะมาในช่วงนาที 34 จากการซัดจ่อๆ ของ บรูโน่ แฟร์นานเดส แต่ก็ยังกิน รุย ปาตริซิโอ ไม่ได้ ! จบครึ่งแรกแบบจืดชืดไม่ได้มีอะไรให้แฟนบอลได้ลุ้น ได้เสียงกันกลางดึก ทำให้ต้องมาวัดกันต่อในครึ่งหลังว่ากุนซือของทั้ง 2 ฝั่งจะมีการปรับเปลี่ยนแก้แท็คติกตรวไหนกันบ้าง

ครึ่งหลังที่ไม่แตกต่าง

ออกสตาร์ท 45 นาทีหลัง โซลชา จัดการเดินหน้าแก้เกมก่อนเลยด้วยถอด อเล็กซ์ เตลลิส ออก และส่ง ลุค ชอว์ ลงสนามไปเล่นแทน ซึ่งในช่วงครึ่งหลังก็แทบจะเป็นเกมที่ชวนหลับสิ้นดี มีโอกาสทำประตูกันน้อยนิด  แต่ก็มีประเด็นให้พูดถึงเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จังหวะเตะมุม ก่อนที่ เอริก ไบยี่ จะโหม่งบอลไปแฉลบมือของ คอนเนอร์ โคดี้ แล้วเป็น เอดินสัน คาวานี่ จะสามารถเอาบอลเข้าไปซุกที่ก้นตาข่ายได้แล้ว แต่ทว่าผู้ตัดสินดันยกธงบอกดาวยิงฉายา "เอล มาทาดอร์" ยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ไม่ได้ประตูนี้ และสกอร์ 0-0 ก็ยังคงถูกตึงจนถึงนาทีที่ 90 

ฮีโร่คือ ด็อกเตอร์ แรชฟอร์ด !

จากรูปเกมที่ชวนน่าเบื่อน่านอนหลับมากว่าถ่างตาดู พลันเข้าสู่ช่วงนาทีที่ 90+3 เหมือนเป็นห้วงเวลาแห่ง “โอเล่ ไทม์” ที่มักมาถูกช่วงเวลา และโชคชะตาได้ลิขิตเอาไว้ เมื่อ ดร.มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เกมนี้ทิ้งเขาโอกาสทองฝั่งเพชรไปหลายครั้งจนแฟนบอลดทางหน้าจอเริ่มสบทด่า ก็มาสวมบทฮีโร่ซะอย่างงั้น ด้วยการซัดบอลไปแฉลบ โรแม็ง ซาอิส ปราการหลังของ วูล์ฟส์ ที่เกมนี้เล่นดีมาตลอดเข้าประตูไปกลายเป็นประตูชัยให้ทีมคว้า 3 คะแนนได้สำเร็จ ซึ่งประตูนี้ถือว่าเป็นประตูที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ซัดช่วงท้ายเกมที่สุดนับตั้งแต่ที่ ไมเคิ่ล โอเว่น บรรจงยิงใส่ แมนฯ ซิตี้ เมื่อปี 2009 ซึ่งเกมนั้นเจ้าของฉายา "เบบี้โกล" กระหน่ำได้ในนาทีที่ 95.27 อีกทั้งนี้อป็นประตูแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม หรือราว 845 นาทีที่ แรชฟอร์ด ยิงประตูได้ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด

ทะยานรองจ่าฝูง

จากชัยชนะของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันเลยส่งผลให้พวกเชาทะยานขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูงได้สำเร็จ ภายหลังเก็บไปแล้ว 30 คะแนนจาก 15 นัด เป็นรองเพียง ลิเวอร์พูล เพียง 2 คะแนนเท่านั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะโคจรมาพบกันในศึกแดงเดือดวันที่ 17 ม.ค. นี้ ณ สังเวียนแอนฟิลด์  ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเกมในวันนั้นอาจเป็นค่ำคืนของการเบียดแย่งตำแหน่งจ่าฝูงของ 2 ทีมคู่รักคู่แค้น ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว และมันคงเป็นเกมที่แฟนบอลทั้ง 2 ทีมตั้งตารออย่างใจระทึกแน่นอน

- เปา ขอบสนาม -

logoline