logo-heading

เป็นอันว่าได้โบกลากันอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ แฟรงค์ แลมพาร์ด กับบทบาทการเป็นกุนซือ เชลซี ของเขา ภายหลังทำผลงานไม่ได้ตามเป้าหมาย สวนทางกับงบประมาณที่ทีมได้ลงทุนไปอย่างมหาศาลในช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์ที่ผ่านมา

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2019 งานคุมทีม เชลซี กลายเป็นเผือกร้อนที่ไม่มีกุนซือคนไหนกล้าเข้ามาแตะต้อง เพราะเนื่องจากสโมสรโดนกฎสั่งห้ามซื้อนักเตะเป็นเวลา 2 ตลาดเต็มๆ หรือเรียกได้ว่าฤดูกาล 2019-20 พวกเขาหมดสิทธิ์ที่จะเสริมแต่ง ปรับปรุงทีมให้ดีขึ้น มันเลยทำให้ไม่อยากโค้ชฝีมือดีคนไหนเอาชื่อของตัวเองมาเสี่ยงกับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ทำให้สุดท้ายผู้เสียสละก็ไม่ใช่ใครคนไหนไกล คนคุ้นเคยที่เป็นตำนานนักเตะของสโมสรอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่กระโดดมารับงานนี้ด้วยความภาคภูมิแบบเต็มอก เพราะนี่คือสโมสรที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นยอดนักฟุตบอลได้ หลังลาสิงห์บลู! ชีวิตต่อจากนี้ของ แลมพาร์ด ควรไปในทางไหนดี แน่นอนว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ เชลซี เลือก แลมพาร์ด คือความมี DNA ของทีมอย่างสูงส่งรู้ทุกซอกมุมของสโมสรแห่งนี้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือเด็กบางคนในทีมเคยผ่านการร่วมงานกับ แลมพาร์ด ที่ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ มาบ้างแล้วอย่างเช่น เมสัน เมาท์ หรือ ฟิกาโย โทโมริ ว่าแล้วขอบปีแรกของ แลมพาร์ด ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายพอสมควรนั้นก็คือเข็นทีมจนติดท็อปโฟร์ได้สำเร็จ ฉะนั้นแล้วเมื่อโทษแบนการซื้อนักเตะได้หมดลง โรมัน อบราโมวิช จึงจัดการขนเงินก้อนโตมาเปย์ให้ทีมได้ใช้อย่างเต็มที่ ซึ่งมันก็แลกมาด้วยแข้งฝีเท้าดีชื่อดังหลายคนไล่ตั้งแต่ ฮาคิม ซีเย็ค, ไค ฮาเวิร์ตซ์, ติโม แวร์เนอร์, เอดูอาร์ เมนดี้ หรือ เบน ชิลเวลล์ พ่วงด้วยกองหลังมากประสบการณ์อย่าง ติอาโก้ ซิลวา แต่ทว่าผลงานกลับสวนทางความคาดหวังมากพอสมควร แม้จะมีอยู่ช่วงนึงในขึ้นไปสูดอากาศหนาวบนหัวตาราง แต่ทว่าไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ผลงานดำดิ่งตกลงอย่างน่าตกใจ แน่นอนถ้าจะมีสักคนที่จะต้องรับผิดชอบ แลมพาร์ด ในฐานะกุนซือก็ต้องเป็นทัพหน้าในการรับแรงกระแทกอย่างเสียงวิจารณ์ จนแล้วจนรอดทีมก็ไม่ได้มีผลงานที่ดีขึ้น หนำซ้ำมันค่อยๆ แย่ลงไปเรื่อยๆ ฉะนั้นแล้วการแยกทางกันจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แลมพาร์ด ต้องเดินออกจาก สแตมฟอร์ด บริจด์  อีกครั้ง แต่เปลี่ยนบทบาท จากนักเตะ เป็นกุนซือ หลังลาสิงห์บลู! ชีวิตต่อจากนี้ของ แลมพาร์ด ควรไปในทางไหนดี ซึ่งถ้าถามว่าจุดไหนบ้างที่ แลมพาร์ด ยังคงต้องเรียนรู้ และเพิ่มพูนศาสตร์ของงานโค้ลมากขึ้น ก็คงเป็นเรื่องของประสบการณ์ และการกล้าตัดสินใจบางอย่างที่มีผลต่อการแข่งขันของทีม หรือถ้าจะรวมปัจจัยภายนอกเรื่องอาการบาดเจ็บก็อาจเรามารวมพอเป็นข้อถกเถียงได้บ้าง แต่มันก็เท่านั้นในเมื่อผลงานมันออกมาไม่ได้เป็นดั่งภาพที่ฝันเอาไว้ ถามว่าต่อจากนี้ แลมพาร์ด ควรเดินต่อไปในทิศทางไหน ? แน่นอนไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งที่เชื่ออย่างนึงเขาคงเจ็บปวดไม่ใช่น้อยที่ไม่อาจเข็นอดีตต้นสังกัดของเขาไปถึงฝั่งฝันทั้งที่โอกาสทุกอย่างได้อยู่ในมือเขาแบบเต็มอุ้มมือ แต่ก็ทำมันหลุดลอยไปแบบไม่น่าให้อภัยตัวเอง ต่อจากเจ้าตัวคงหยุดตั้งหลักสักพักลืมความเจ็บซ้ำครั้งนี้ไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะกลับมาสู้กันในเส้นทางสายกุนซือกันใหม่อีกครั้ง ซึ่งด้วยความที่เป็นหนุ่มใหม่ไฟแรงในถนนสายนี้ บวกกับฝีมือของเขาไม่ได้ธรรมดาไก่กา เพราะผลงานกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ รวมไปถึงขวบปีแรกกับ เชลซี ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า "ซุปเปอร์แฟรงค์" คนนี้ก็ไม่ใช่ย่อย เพียงแต่ต้องหาสโมสรที่เหมาะสมกับช่วงเวลา และโอกาส รวมไปถึงไม่ได้สร้างความกดดันต่อตัวเขามากเท่าไหร่ ถ้าจะหาตัวอย่างสักคนไม่ต้องบอกไปหาที่ไหนไกล สตีเว่น เจอร์ราร์ด นั้นไง เพื่อนร่วมรุ่นของ แลมพาร์ด ผู้นี้เลือก กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทีมในลีกสก็อตต์แลนด์เป็นจุดหมายในการเริ่มต้นอาชีพโค้ช ซึ่งก็ดูเหมือนเขาจะไปได้สวย กำลังจะซิวโทรฟี่แชมป์ลีกมาให้ เรนเจอร์ส ครอบครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีได้สำเร็จ ฉะนั้นการเริ่มต้นใหม่กับทีมระดับกลาง ที่ไม่จำเป็นต้องในพรีเมียร์ลีกเท่านั้นถือว่าเหมาะสมกับตัว แลมพาร์ด ในตอนนี้ไม่ใช่น้อย ออกไปหาประสบการณ์เก็บเกี่ยวอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในกระเป็าเพื่อเป็นวิชาความรู้ต่อเติมฝีมือของตัวเอง แน่นอนมันไม่ต้องเร่งรีบในการหาทีมใหญ่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่มันเป็นการเดินถอยหลังเพื่อก้าวกระโดดไปข้างหน้าที่ไกลมากกว่าเดิมต่างหาก สุดท้ายเราไม่อาจรู้ได้ว่าอนาคตของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะวนกลับมาบรรจบกับ เชลซี อีกครั้งหรือไม่ แต่ถ้าเป็นไปได้เชื่อเหลือเกินว่าแฟนบอล "สิงห์บลู" คงอยากเห็นตำนานคนนี้กลับมาแก้ตัว และใช้ความสำเร็จเป็นตัวลบความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

- เปา ขอบสนาม - 

logoline