logo-heading

ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า เซร์คิโอ อเกวโร่ จะหันหลังเดินออกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้ ปิดฉากตำนานอีกหนึ่งบทของชีวิตไว้ที่ 10 ปีกับสโมสรแห่งนี้ 

ซึ่งจะว่าไปถือว่าไม่ใช่เรื่องที่เซอร์ไพรส์อะไรมากมาย เพราะก่อนหน้านี้ก็พอมีข่าวมากระแทกเข้าหูบ้างแล้วว่าดาวยิงชาวอาร์เจนติน่าจะเก็บกระเป๋าโยกย้ายออกไปจากทีม แต่ทว่าเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง ก็รู้สึกใจหายไม่น้อย เนื่องด้วยระยะเวลากว่า 10 ปี มันช่างรวดเร็ว และกลายเป็นภาพคุ้นตาของเหล่าแฟนบอลไปเสียแล้ว ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราวันนี้เลยทำการคัด 10 โมเมนต์เด่นๆ ของ อเกวโร่ ในสีเสื้อของ แมนฯ ซิตี้ มาฝากกันเพื่อเป็นการสดุดีแข้งระดับตำนานอีกหนึ่งคนของทัพ "เรือใบสีฟ้า"

เปิดตัวในฐานะแข้ง แมนฯ ซิตี้

ย้อนกลับไปสักราว 10 กว่าปีก่อน ชื่อของ เซร์คิโอ อเกวโร่ กลายเป็นที่รู้จักของแฟนบอลเป็นวงกว้างจากลีลาการถล่มประตูในสีเสื้อของ แอตเลติโก มาดริด จนได้รับความสนใจจากหลายสโมสรทั่วยุโรป แต่ทว่าสุดท้ายก็กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ ทีมที่เรียนกันตามตรง ณ ช่วงเวลานั้นยังไม่ได้สถาปนาตัวเองเป็นทีมใหญ่แห่งอังกฤษ แถมยังไม่มีความสำเร็จอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่ทว่า อเกวโร่ เลือกที่จะมาหาความท้าทายใหม่ และเป็นนักเตะชุดเริ่มตั้งไข่ในการพาทีมพุ่งชนความสำเร็จ ค่าตัวในวันนั้นของเขาจากทัพ "ตราหมี" ตกอยู่ที่ราว 40 ล้านยูโร พร้อมความคาดหวังจากแฟนบอลว่าเขาจะก้าวเข้ามาเป็นตัวความหวังในการไล่ล่าความสำเร็จ นำโทรฟี่แชมป์ต่างๆ มาประดับสโมสร พร้อมปลุกปั้นให้เรือลำนี้กลายเป็นยักษ์ของวงการลูกหนังอังกฤษ และสร้างชื่อในเวทียุโรปให้ได้ จากไปอย่างตำนาน!  10 โมเมนต์เด่น เซร์คิโอ อเกวโร่ ในสีเสื้อ แมนฯ ซิตี้

ความสำเร็จแรก และประตูแห่งความทรงจำ

ขวบปีแรกกับฟุตบอลอังกฤษถือว่า อเกวโร่ สอบผ่านแบบไม่ยากเย็นนัก ซึ่งแววเด่นมันออกมาตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนาม เพราะเจ้าตัวเหมาคนเดียว 2 ประตู พ่วงด้วย 1 แอสซิสต์ จากบทบาทตัวสำรองที่มีเวลาในสนามเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นไม่นานเพียงเกมที่ 4 ของพรีเมียร์ลีก "เอล กุน" ก็จัดการทำแฮตทริกได้แล้วในเกมที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านเอาชนะ วีแกน แอธเลติก 3-0  แต่ทว่าซีนที่ขโมยทุกความทรงจำในฤดูกาล 2011-12 เกิดขึ้นในเกมสุดท้ายที่พบ ควีนพาร์ค เรนเจอร์ และเชื่อว่ามันยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ด้วยข้อแม้ในเกมนั้นที่ "เรือใบสีฟ้า" ต้องเก็บชัยชนะให้ได้สถานเดียว เพื่อพุ่งชนแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสร  นาฬิกาบอกเวลาว่าได้เข้าสู่ช่วงนาทีที่ 90+4 สกอร์ยังคงเสมอกันอยู่ที่ 2-2 แน่นอนถ้านกหวีดยาวลั่นขึ้นมาพวกเขาจะอกหักในทันที แต่ในทันใดนั้น มาริโอ บาโลเตลลี่ ได้ไหลบอลให้ อเกวโร่ หลุดเข้าไปซัดด้วยอีขวาบอลผ่านมือนายทวารคู่แข่งเข้าไป เสียงพากย์ของผู้บรรยายในวันนั้นยังติดหู "Aguerooo oo ooo" ประวัติศาสตร์ได้จารึก เขาคือคนที่พาทีมเถลิงบัลลังก์แชมป์ได้อย่างยอดเยี่ยม ลบคำสบประมาทจากแฟนบอลหลายกลุ่มที่บอกว่าใช้เงินซื้อความสำเร็จ รวมแล้วฤดูกาลแรก อเกวโร่ กระหน่ำไปได้ 30 ประตู จากการลงสนามทุกรายการ 48 นัด รั้งอันดับ 3 ในชาร์ตดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีก ถ้าจะมีเรื่องให้น่าเสียดายอย่างเดียวคือเขาไม่ได้ติดทีมยอดเยี่ยมในซีซั่นั้น แต่ทว่าความสำเร็จดังกล่าวมันได้ชโลมจิตใจของเขาไปได้หมดแล้ว

ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกครั้งแรก

ภายหลังลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีกไปได้ในช่วงระยะนึงพร้อมพาทีมกวาดความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกไปได้ 2 สมัย ในช่วงฤดูกาล 2011-12 กับ 2013-14 แต่ทว่าสิ่งนึงที่ยังขาดหาย ทำให้กระบวนการทุกอย่างมันยังไม่สมบูรณ์คือการก้าวขึ้นไปรั้งในตำแหน่งดาวซัวโวของลีกนั้นเอง ก่อนที่รางวัลดังกล่าว อเกวโร่ จะมาคว้าได้สำเร็จในซีซั่น 2014-15 แต่มันน่าเสียดายที่ไม่สามารถเข็นทีมไปจนถึงตำแหน่งแชมป์ได้  ย้อนกลับฤดูกาลดังกล่าว "พี่บ่าว" จัดกระกระซวกตาข่ายไปได้ทั้งสิ้น 26 ประตู ซึ่งในเส้นทางระหว่างนั้นเจ้าตัวได้จารึกชื่อด้วยการเหมาคนเดียว 4 ประตู ในเกมที่เปิดบ้านชนะ สเปอร์ส 4-1 รวมไปถึงแฮตทริกอีกครั้งในเกมถล่ม ควีนพาร์ค เรนเจอร์ 6-0 แม้เจ้าตัวจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนในช่วงกลางซีซั่นแต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความสำเร็จส่วนตัวนี้ได้  ทว่าดูเหมือนจะมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยตรงที่ปีนั้นแม้เจ้าตัวสามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวมาได้ก็จริง และ แมนฯ ซิตี้ เองก็ไปจบในตำแหน่งรองแชมป์ แต่เมื่อมีการประกาศทีมยอดเยี่ยมของ PFA ออกมา กลับไร้ชื่อของดาวยิงชาวอาร์เจนติน่าคนนี้ แต่กลายเป็น ดิเอโก้ คอสต้า กับ แฮร์รี่ เคน ที่เข้าวินไปแทน  ซึ่งนั้นคือครั้งแรก และครั้งเดียวที่ อเกวโร่ เข้าป้ายคว้าดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกมาครอง เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาไม่เคยขึ้นไปรั้งอยู่บนแท่นสูงสุดของชาร์ตดาวยิงนี้ได้อีกเลย

ซัด 5 ประตูในเกมเดียว

ขึ้นชื่อว่ากองหน้า การทำประตูคืองานหลักของพวกเขา แต่ทว่าสิ่งที่ยากเย็นไปกว่านั้นคือการกระหน่ำคนเดียว 5 ประตูในเกมเดียว ย้อนกลับไปเดือนตุลาคม 2015 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านพบกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ว่าแล้วผู้ทีมเยือนจัดการกระตุกหนวดเสือขึ้นนำไปก่อน ในรูปแบบที่ไม่รู้ว่าหายนะกำลังมาเยือนในอีกไม่ช้า ในช่วงนาทีที่ 41 ถึง 61 ทัพ "เรือใบสีฟ้า" จัดการกระทุ้งรวด 6 ประตูแซงขึ้นนำแบบหน้าตาเฉย แถม 5 จาก 6 ประตู จากการชายที่ชื่อ เซร์คิโอ อเกวโร่ นับว่าเขากลายเป็นแข้งอีกหนึ่งรายที่เหมา 5 ประตูจากเกมเพียง 90 นาทีในพรีเมียร์ลีกต่อจาก แอนดี้ โคล , อลัน เชียร์เรอร์, เจอร์เมน เดโฟ และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ จากไปอย่างตำนาน!  10 โมเมนต์เด่น เซร์คิโอ อเกวโร่ ในสีเสื้อ แมนฯ ซิตี้

ดาวซัลโวตลอดกาลสโมสร

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า อเกวโร่ ย้ายมาเป็นสมาชิกของ แมนฯ วิตี้ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2011 ก่อนที่เจ้าตัวจะใช้เวลาราวๆ 6 ปี ในการไล่ล่าประตูจนกระทั่งสามารถพาตัวเองสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นไปรั้งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรได้สำเร็จ  ดั่งเดิมสถิตินี้ครอบครองโดย เอริค บรุคส์ ที่เคยทำไว้ที่ 177 ประตู ในช่วงระหว่างที่ค้าแข้งให้ทีมในปี 1928-139 ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 78 ปีกว่าจะมีคนมาโค่นลงได้ ซึ่งประตูที่ 178 ของ อเกวโร่ เกิดขึ้นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 ในเกมที่บุกไปเอาชนะ นาโปลี 2-4  และนับจนถึงปัจจุบันหัวหอกจากแดน "ฟ้า-ขาว" ยิงประตูรวมให้ทีมไปแล้วทั้งสิ้น 257 ประตู ซึ่งไม่รู้ว่าถึงวันที่ม่านปิดฤดูกาล ก่อนเจ้าตัวจะย้ายออกไปจะสามารถผลิตเพิ่มได้ไหม แต่ที่แน่ๆ ตัวเลขดังกล่าวมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในหาหาใครสักคนมาทำลาย และโค่นลงจากบัลลังก์นี้ได้ "ผมไม่รู้ว่าจะยิงได้มากกว่านี้อีกกี่ประตู แต่ผมคิดแค่ว่าจะเล่นเต็มที่ 100% ในทุกๆ เกม ผมจะเล่นแบบเดิม และทำงานหนักต่อไป" ถ้อยคำของ อเกวโร่ ในวันเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม

ทริปเปิ้ลแชมป์บอลในประเทศ 

หนึ่งในเกียรติยศสูงสุดของ อเกวโร่ ในสีเสื้อของ แมนฯ ซิตี้ คือเมื่อฤดูกาล 2018-19 ในการพาต้นสังกัดกวาดทุกแชมป์ในอังกฤษ ไล่ตั้งแต่พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ ไล่เรียงตั้งแต่ ลีก คัพ ที่ตลอดเส้นทางพวกเขาแทบไม่ได้เจองานที่ยากมากนักไล่มาตั้งแต่ อ็อกฟอร์ด ยูไนเต็ด, ฟูแล่ม, เลสเตอร์ ซิตี้, บอร์ตัน อัลเบี้ยน ก่อนที่ในรอบชิงชนะเลิศจะเอาชนะ เชลซี ไปได้ในการดวลจุดโทษ ซึ่งในรายการนี้ อเกวโร่ มีส่วนรวม 1 ประตู และได้อยู่ในสนามครบ 120 ในเกมนัดชิงชนะเลิศด้วย ต่อกันที่เอฟเอ คัพ ที่ต้องบอกว่าเป็นถ้วยที่พวกเขาไม่ได้เจอกับทีมระท็อปเลยไล่ตั้งแต่รอบ 4 พบกับ ร็อตเธอร์แฮม ต่อด้วย เบิร์นลี่ย์, นิวพอร์ต เคาน์ตี้, สวอนซี ซิตี้, ไบร์ทตัน และรอบชิงก็ไม่ได้ระบมเท้าเท่าไหร่จัดการสอย วัตฟอร์ด ขาดลอย 6-0 ในรูปแบบที่ อเกวโร่ได้นั่งเป็นเพียงผู้ชมอยู่ข้างสนามเท่านั้น ส่วนในพรีเมียร์ลีก อาจต้องลุ้นกันเหนื่อยจนวินาทีสุดท้ายก่อนเข้าป้ายด้วยการเบียด ลิเวอร์พูล เพียงคะแนนเดียวเท่านั้น ส่วนผลงานของ อเกวโร่ ในเกมลีกนั้นอยู่ที่ 21 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 33 เกม  นอกจากนั้นพวกเขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกแห่งอังกฤษที่สามารถเดินหน้าล่าถ้วยมาครองได้ทั้ง 3 ใบในฤดูกาลเดียว และก็ไม่แน่ในซีซั่นนี้พวกเขาอาจจะประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกคร้ัง เพราะดูแนวโน้ม  และความน่าจะเป็นมันมีโอกาสสูงมาก และมันคงจะการสั่งลาที่ยอดเยี่ยมของ "เอล กุน" เช่นกัน

แฮตทริกมากที่สุดตลอดกาลพรีเมียร์ลีก

อีกหนึ่งเกียรติประวัติ และสถิติที่ยากจะหาใครมาทำลายได้เหลือเกินกับการซัดแฮตทริกบนเวทีพรีเมียร์ลีกได้ถึง 12 ครั้ง โดยเจ้าของเดิมอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ สามารถครองบัลลังก์ อยู่ได้นานถึง 21 ปี  แฮตทริกแรกของ อเกวโร่ ไม่ต้องรอนานเลยเพราะเกิดขึ้นในเกมนัดที่ 4 ของซีซั่นแรกของเจ้าตัวบนเกาะอังกฤษเมื่อเดือนกันยายน 2011 ซึ่งเหยืออันโอชะคือ วีแกน แอธเลติก ที่เกมนั้น "เรือใบสีฟ้า" เปิดบ้านถล่มไป 3-0 ก่อนที่หลังจากนั้นเจ้าตัวจะค่อยๆ บรรจงเพิ่มสถิติเรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงวันที่ 12 มกราคม 2020 อเกวโร่ ขึ้นแท่นซัดแฮตทริกสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ด้วยการเหมาคนเดียว 3 ประตู ในเกมที่ ซิตี้ บุกถล่ม แอสตัน วิลล่า 1-6 จากไปอย่างตำนาน!  10 โมเมนต์เด่น เซร์คิโอ อเกวโร่ ในสีเสื้อ แมนฯ ซิตี้

13 โทรฟี่แชมป์

หนึ่งในตัวที่เปรียบเสมือนเครื่องการันตีความสำเร็จคือโทรฟี่แชมป์ที่พาทีมเอื้อมมือไปหยิบมาครอบครอง ซึ่งตลอด 10 ปี ของ อเกวโร่ เขาสามารถพาเรือลำนี้เทียบฝั่งคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 13 โทรฟี่ ประกอบไปด้วย พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 5 สมัย และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 3 สมัย ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสวยงามไม่ใช่น้อย อีกทั้งเขายังเปรียบเสมือนรุ่นบุกเบิกความยิ่งใหญ่ของ แมนฯ ซิตี้ เลยก็ว่าได้ ไม่แปลกที่แฟนบอลต่างยกย่องให้เขาคือไอคอนของสโมสร เพราะทุกความสำเร็จ มักมีชายผู้นี้อยู่ในเฟรมคู่ถ้วยแชมป์นั้นอยู่ด้วยเสมอ และมันคงจะสวยงามมากขึ้นไปอีก ถ้าปิดฉากฤดูกาลสุดท้ายด้วยการคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก โทรฟี่ที่ไม่เคยถือครอง มาไว้ในอ้อมกอดได้สำเร็จ

วันประกาศอำลา

"10 ฤดูกาลกับความสำเร็จสูงสุด ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และสร้างความผูกพันไว้มากมายกับทุกคนที่รักสโมสรแห่งนี้ ทุกคนจะอยู่ในใจของผมเสมอ ผมย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงปี 2011 จากคำแนะนำของเจ้าของทีม และการได้มีส่วนร่วมกับผู้เล่นหลายคนมันทำให้เราก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" "ผมจะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถตลอดฤดูกาลที่เหลือ เพื่อคว้าแชมป์ และสร้างความสุขให้กับแฟนบอล จากนั้นก้าวต่อไป และความท้าทายใหม่ก็จะเริ่มขึ้น ผมพร้อมทำทุกอย่างให้เต็มที่ เผชิญหน้ากับมันด้วยความมุ่งมั่น และความเป็นมืออาชีพในแบบเดียวกับที่ผมทุ่มเทมาตลอด" บางประโยคที่ อเกวโร่ ประกาศว่าจะหันหลังเก็บประเป๋าย้ายออกจากทีม เชื่อว่ามีแฟนบอลบางส่วนทำใจไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาไม่แปลกถ้าจะมีน้ำตาในวันที่เขาโบกมือลาแฟนบอลเป็นครั้งสุดท้าย  ระยะเวลากว่า 10 ปี มันมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษย์สักคนนึงจากเด็กน้อย ให้กลายเป็นวัยรุ่นกลัดมัน และมันก็มากพอที่จะขีดเขียนประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรแห่งนี้ให้กลายเป็นที่รู้จักของทุกคน และเป็นเสืออีกตัวที่สโมสรต่างๆ ในยุโรปต่างหันมามอง พร้อมกับจารึกชื่อตัวเองเปรียบดั่งตำนานที่เดินจากไปพร้อมความรักจากเหล่าแฟนบอล

รูปปั้นหน้าสนาม

"อยู่ให้รัก จากไปให้คิดถึง" คงเป็นวลีที่ใช้กับ อเกวโร่ กับ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างดีทีสุด ซึ่งถึงแม้เจ้าตัวจะย้ายออกจากทีมในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้ แต่ทางสโมสรก็เตรียมจัดทำรูปปั้นเพื่อสรรเสริญวีรกรรมต่างๆ ของฮีโร่ผู้นี้ เพื่อเป็นเกียรติหลังรับใช้ทีมมา 10 ปี และพาทีมโกยความสำเร็จอย่างมากมาย ซึ่งเรื่องนี้ คัลดูน อัล มูบารัค ประธานสโมสร ได้ออกมายืนยันด้วยตัวเองว่ารูปปั้นของ "กุน" จะถูกตั้งไว้บริเวณหน้าสนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เคียงข้างกับ แว็งซ็องต์ ก็องปานี และ ดาบิด ซิลบา อีกสองตำนานของทีม "เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศว่าทางเราได้ให้ศิลปินช่วยสร้างรูปปั้นของ เซร์คิโอ เพื่อที่เขาจะยังคงอยู่ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เคียงข้างรูปปั้นของ แว็งซ็องต์ และ ดาบิด ที่กำลังสร้างอยู่ตอนนี้ เราคาดหวังว่าจะมีโอกาสจัดพิธีอำลาให้สมเกียรติกับ เซร์คิโอ ตอนจบฤดูกาลด้วย" เชื่อว่าฉากสุดท้ายถ้าเป็นไปได้ทางสโมสรเองก็อยากให้มีแฟนบอลเข้ามาในสนาม เพื่อเป็นการอำลาครั้งสุดท้ายต่อตำนานของพวกเขา เพื่อให้สมเกียรติกับความยิ่งใหญ่ และร่วมฉลองกับความสำเร็จไปพร้อมๆ กัน

- เปา ขอบสนาม -

logoline