logo-heading

เด็กหนุ่มคนนึงที่เติบโตมาพร้อมกับความฝันของตัวเองว่าอยากจะเป็นฟุตบอลอาชีพให้ได้ ก่อนที่เมื่ออายุครบ 6 ขวบเขาได้โอกาสครั้งสำคัญในชีวิตเมื่อได้เข้าสู่ระบบอคาเดมี่ของสโมสรใหญ่อย่าง เชลซี และนั้นคือจุดเริ่มต้นของ เมสัน เมาท์ ในการปักธงไว้ว่าสักวันจะก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ภายใต้สีเสื้อของทัพ "สิงห์บลู" ให้ได้

แน่นอนเมื่อเราพูดถึง เชลซี กับระบบอคาเดมี่ของพวกเขานั้นมันไม่ค่อยเชิดหน้าชูตามากเท่าไหร่ เพราะนับตั้งแต่ที่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์ภาพจำของแฟนบอลส่วนใหญ่ต่างเทไปที่การทุ่มเงินซื้อนักเตะสตาร์ชื่อดังในการเอาเข้ามาผสมผสานให้ทีมเกิดความลงตัว และพุ่งชนความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือเถลิงบัลลังก์เจ้ายุโรปเมื่อซีซั่น 2011-12 ฉะนั้นแล้วเราจึงไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่กับเด็กๆ ในคาถาของพวกเขาที่จะได้ลืมตาอ้าปาก และก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริง ยึดพื้นที่ในทีมชุดใหญ่ได้มากเท่าไหร่นัก ที่พอจะนึกถึงได้ก็คงจะเป็น จอห์น เทอร์รี่ ที่แหวกเหล่าบรรดารุ่นพี่ก้าวขึ้นมาเป็นยอดกัปตันทีมได้สำเร็จ แต่ทว่าเหตุการณ์ในวันนั้่นมันก็เลยเถิดมานานพอสมควร  มันคงไม่แปลกถ้าจะบอกว่าการที่ได้เข้าเป็นหนึ่งในเด็กอคาเดมี่ของ เชลซี มันคือการเสี่ยงดวงเหมือนกัน และเด็กคนนั้นก็ต้องพิสูจน์ตัวเองในระดับหนึ่งว่าดีพอที่จะถูกหยิบจับ และได้โอกาสในการเติบโตมาในสีเสื้อของ "สิงโตคำราม" ซึ่งกับเรื่องนี้ เมาท์ รู้ดีว่าการเติบโตมันยาก แต่ด้วยรากเหง้าที่มันฝั่งลึกไปกับสโมสรแห่งนี้แล้ว มันเลยเป็นการประกาศก้องในหัวตัวเองว่าสักวันฉันจะก้าวตามรอย จอห์น เทอร์รี่ ขึ้นไปเป็นนักเตะชุดใหญ่ของทีมให้ได้ และเป็นตัวแทนของไอดอลที่เขาอยากเลียนแบบอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ให้ได้ในสักวันหนึ่ง เมสัน เมาท์ : จากดาวรุ่งที่ถูกป้ายสีว่าเด็กเส้น สู่กำลังสำคัญของทัพ สิงห์บลู ซึ่งในห้วงระหว่างนั้นเจ้าตัวก็เก็บเกี่ยวเพิ่มพูนฝีเท้าอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2017 เมาท์ ถูกปล่อยไปให้ วิเทสส์ อาร์เน่ม ทีมในศึกเอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ ยืมตัว และฤดูกาล 2018-19 ที่ แลมพาร์ด ได้ตกลงรับงานกุนซือของ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เจ้าตัวก็ได้มอบโอกาสให้กับเด็กหนุ่มรายนี้ด้วยการยืมตัวมาใช้งาน  และที่นี่เองทำให้ "ซูเปอร์แฟร้งค์" ประทับใจกับฝีเท้าของกองกลางรายนี้เป็นอย่างมาก จะว่าไปช่วงนั้นคือห้วงเวลาที่ เมาท์ เองก็ได้ศึกษาศาสตร์วิชาลูกหนังจากเจ้านายคนนี้ไม่น้อย ก่อนที่จะช่วยกันจนเกือบพาทัพ "แกะเขาเหล็ก" เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีก แต่ทว่าก็ต้องอกหักพ่ายในรอบเพลย์ออฟไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนผลงานส่วนของ เมาท์ ถือว่าเป็นตัวเลขที่สวยงามไม่น้อยลงสนามในทุกรายการไปทั้งสิ้น 44 เกม ซัดไป 11 ประตู พ่วง 6 แอสซิสต์ รั้งเป็นดาวซัลโวอันดับ 3 ของสโมสรในซีซั่นนั้น จนกระทั่งฤดูกาล 2019-20 ขวบปีที่ เชลซี มืดมนมากพอสมควรเนื่องจากโดนแบนจากตลาดซื้อนักเตะ จากเหตุที่พวกเขาทำผิดกฎของฟีฟ่า เรื่องการซื้อนักเตะเยาวชน ทำให้ทีมต้องไปดึงคนที่พร้อมรับงานเผือกร้อนนี้อย่าง แลมพาร์ด มานั่งบัญชาเกมข้างสนาม และด้วยปัจจัยที่โดนห้ามซื้อนักเตะทำให้นายใหญ่ผู้นี้ตัดสินใจดันเด็กในคาถาของทีมขึ้นมาใช้ทั้งหมด รวมไปถึง เมสัน เมาท์ ที่เขาหยิบมาใช้งานที่ เชลซี พร้อมกันอีกครั้ง  ซึ่งด้วยวิธีการแบบนี้ แลมพาร์ด ได้รับคำชื่นชมไม่น้อยที่สามารถแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถใช้เหล้าแข้งยังบลัดของทีมได้อย่างลงตัว โดยนักเตะที่ได้รับคำชมมากพอสมควรนั้นก็คือ เมสัน เมาท์ เพราะนี่คือฤดูกาลแรกกับทีมชุดใหญ่ของ เชลซี และฤดูกาลแรกกับศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมสัน เมาท์ : จากดาวรุ่งที่ถูกป้ายสีว่าเด็กเส้น สู่กำลังสำคัญของทัพ สิงห์บลู โดย เมาท์ เองก็ถือว่าคว้าโอกาสจาก แลมพาร์ด ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถแสดงพิษสงออกมาโดยเฉพาะเรื่องของบอลจังหวะคิลเลอร์พลาสได้อย่างน่าทึ่งราวกับเล่นบนลีกสูงสุดมานาน พ่วงมาด้วยการเล่นลูกนิ่งที่ถือว่าอันตรายเป็นออฟชั่นเสริมยามทีมต้องการประตูได้อีกด้วย รวมไปถึงความสารพัดประโยชน์ที่จับไปเล่นตรงไหนในแผงกองกลางก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามฟุตบอล 1 ฤดูกาลลงเล่นกันเกือบ 9 เดือน มันย่อมมีช่วงเวลาที่ดีที่สุด และลงเหวพร้อมเสียงวิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามา ซึ่ง เมาท์ คือหนึ่งในนักเตะที่โดนเล่นงาน จนถึงขนาดที่ว่าโดนด่าว่าเป็นเด็กเส้น เล่นแย่ขนาดนั้น แลมพาร์ด ก็ส่งลงสนาม ตะบี้ตะบันใช้งานแบบไม่ลืมหูลืมตา  ซึ่งแม้จะมีเสียงก่นด่าอย่างมากมายแต่มันไม่ได้ทำให้ เมาท์ เสียกำลังใจ เขายังคงก้มหน้าทำงานหนักต่อไป เรียนรู้ และปรับเปลี่ยนพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลากับผู้เชี่ยวชาญในตำแหน่งการเล่นของเขาอย่าง แลมพาร์ด จนเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นเริ่มเบาลงตามผลงานที่เขาได้ไต่ระดับความสม่ำเสมอได้มากยิ่งขึ้น ไม่แปลกที่จบฤดูกาลแรกกับทีมชุดใหญ่ เมาท์ จะได้โอกาสลงสนามไปมากถึง 53 เกม พร้อมกับการมีส่วนร่วมประตูของทีมถึง 14 ตุง  จนกระทั่งจุดเปลี่ยนมาอยู่ในช่วงกลางซีซั่น 2020-21 นี้ที่ทีมมีการเปลี่ยนหัวเรือใหม่ แลมพาร์ด ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และเป็น โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามารับตำแหน่งแทน โดยเกมแรกภายใต้นายใหม่ เมาท์ ก็ถูกดร็อปเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น ก่อนที่จะได้โอกาสลงสนามมาเป็นตัวสำรองช่วงท้ายเกม ซึ่งนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ ทูเคิ่ล ประทับใจมากพอควร ก่อนที่จะบรรจงมอบตำแหน่งตัวจริงให้กับเขาในเกมต่อๆ มา เพราะด้วยสิ่งที่เด็กคนนี้แสดงออกมามันช่วยการขับเคลื่อนเกมรุกให้มีรสชาติที่กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น และเมื่อได้โอกาสลงสนามบ่อยครั้ง เขาก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ และฉายฟอร์มเด่นออกมาให้แฟนบอลได้ยลโฉมกันอยู่เรื่อยๆ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ เมสัน เมาท์ กำลังทำมันอยู่คือการตอกย้ำให้ภาพมันชัดเจนในคำที่ว่า "เด็กเส้น" คือคำพูดที่ไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงคำใส่ร้ายป้ายสีจากคนบางกลุ่มที่ไม่ประสงค์ดีเพียงเท่านั้น เพราะด้วยผลงานที่แสดงออกมาเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวเขามีคุณภาพมากกว่าที่จะใช้เส้นสายในการไต่เต้าขึ้นมาอย่างทุกวันนี้  เมสัน เมาท์ : จากดาวรุ่งที่ถูกป้ายสีว่าเด็กเส้น สู่กำลังสำคัญของทัพ สิงห์บลู นอกจากนั้นยังเป็นอีกย่างก้าวสำคัญที่ทำให้เด็กๆ ในอคาเดมี่ของ เชลซี หัวใจพองโตมากขึ้นไปอีกว่าประตูในการก้าวสู่ทีมชุดใหญ่มันไม่ได้ปิดตายไปเสียทีเดียว โอเคแหละครับอนาคตเราไม่อาจรู้ได้ว่า เมาท์ จะเติบโตไปมากขนาดไหน แต่ด้วยวุฒิภาวะในตอนนี้ ความมีสายเลือดของ เชลซี วนเวียนอยู่ในตัวทำให้ จอห์น เทอร์รี่ กล้าทำนายเลยว่าไอ้หมอนี้แหละคืออนาคตกัปตันทัพ "สิงห์บลู" อย่างแท้จริง  "ผมกล้าทำนายไว้ตรงนี้เลยว่า ในอนาคต เมสัน เมาท์ จะก้าวขึ้นเป็นเสาหลักและกัปตันทีม เชลซี ได้แบบ 100%" "เมาท์ ฉายแววการเป็นอัจฉริยะให้เห็นมาตั้งแต่สมัยอยู่อคาเดมี่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมภูมิใจมากกว่านั้นคือการแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำมากขึ้นเรื่อยๆ" นี่แหละครับคุณค่าที่ เมสัน เมาท์ ได้พิสูจน์ และก้าวผ่านคำวิจารณ์ต่างๆ ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าถ้าคุณแกร่งพอ คุณก็ดีพอที่จะได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตของตัวเอง

- เปา ขอบสนาม -

logoline