logo-heading

นั่งไทม์แมชชีนกลับไปในศึกฟุตบอลโลก 2006 เชื่อว่าทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวในคราวนั้นมีหลากหลายเหตุการณ์ให้พูดถึงกันอย่างมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งเกมในรอบชิงชนะเลิศที่กลายเป็นไฟนอลที่จดจำของแฟนบอลจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

เหตุการณ์เฮดบัตต์ของ ซีเนดีน ซีดาน ใส่เข้ากลางหน้าอกของ มาร์โก มาเตรัชชี่ จะถูกกล่าวขานมาจนถึงจนวันนี้ แต่ทว่าอีกหนึ่งภาพจำในฟุตบอลโลกหนดังกล่าวคือการหักเหลี่ยมกันเองของ 2 เพื่อนซี้ภายใต้โลโก้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่โคจรมาพบกันในวันที่ต้องทำเพื่อชาติบ้านเกิดของตัวเอง ความทรงจำในวันนั้นเกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อทีมชาติอังกฤษโคจรมาพบกับทีมชาติโปรตุเกส ก่อนที่เหตุการณ์ที่ได้รับการกล่าวขวัญจะเกิดขึ้นในช่วงนาทีที่ 61 เมื่อ รูนี่ย์ ไปย่ำใส่ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ แนวรับของทัพ "ฝอยทอง"  ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นเมื่อนักเตะของโปรตุเกสต่างเข้ามาประท้วงผู้ตัดสิน และหนึ่งในนั้นคือ โรนัลโด้ ที่จัดหนักฟ้องกรรมการแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผล รูนี่ย์ โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ส่วนกล้องถ่ายทอดสดสามารถจับปฎิกิริยาของ โรนัลโด้ ได้ว่าเขานั้นหันไปกระพริบตายังซุ้มม้านั่งสำรอง คล้ายกับอาการสะใจที่สามารถทำให้ รูนี่ย์ โดนใบแดงไล่ออกไปได้ โรนัลโด้ & รูนี่ย์ : เพื่อนรักหักเหลี่ยม จนก้าวมาเป็นคู่หูไล่ล่าความสำเร็จ  ซึ่งผลการแข่งขันในวันนั้นเป็นโปรตุเกสที่ผ่านเข้ารอบไปได้ด้วยการเอาชนะจุดโทษ 3-1 ภายหลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 0-0 แน่นอนว่าสิ่งที่ โรนัลโด้ ทำในวันนั้นเขาถูกสื่อในเมืองผู้ดีเล่นงานเป็นอย่างมากถึงความเหมาะสม และความเป็นเพื่อนกับ รูนี่ย์ ถึงขนาดที่มีข่าวว่าเจ้าของโค้ดเนม CR7 อาจจะต้องย้ายสังกัดเลยทีเดียว แต่ทว่าสุดท้ายหลังจบทัวร์นาเมนต์ก็ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่ทุกอย่างทั้งคู่สามารถเคลียร์ใจกันได้ โดยมีกาวใจที่ยึดทั้งคู่เข้าหากันนั้นคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และการที่ทั้งคู่ได้ประสานงานกันในสนามมันยิ่งเพิ่มอัตราความสนิทสนม และกลับมาเป็นคู่หูทั้งใน และนอกสนามกันได้อย่างแนบเนียน รูนี่ย์ ได้เปิดเผยถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่าถ้าแท้จริงสลับมาเป็นเขาก็อาจตัดสินใจทำในแบบ โรนัลโด้ ก็เป็นไป "ผมถามตัวเองว่าถ้าเป็นผมจะทำแบบเดียวกันกับ โรนัลโด้ ไหม? ผมก็อาจจะทำ ผมจะไปเผชิญหน้ากับผู้ตัดสิน เพื่อทำให้แน่ใจว่าเขาต้องโดนไล่ออก เพราะถ้าเขาถูกใบแดง มันจะช่วยให้เราได้รับชัยชนะ"  "แต่เอาจริงๆ เกมนั้นผมพยายามทำให้ โรนัลโด้ โดนใบเหลืองจากจังหวะพยายามพุ่งล้มในครึ่งแรก ส่วนเรื่องที่เขากะพริบตา ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น มันไม่มีอะไร" ฤดูกาล 2006-07 หรือซีซั่นที่ต่อจากศึกฟุตบอลโลกที่ทั้งคู่มีเรื่องราวกันนั้น "ป๋าเฟอร์กี้" ได้ทำการสถาปนาให้ทั้ง โด้ & รูน กลายเป็นหัวใจสำคัญในเกมรุกของ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะหน้าที่การผลิตสกอร์ เนื่องด้วยการขัดเกลา และสอนศาสตร์ลูกหนังมาได้ 2 ปี มันควรค่าแก่เวลาแล้วที่จะฝากความหวังไว้กับดาวรุ่ง 2 หน่อนี้แล้ว  นอกจากนั้นสืบเนื่องด้วยที่ทีมได้ทำการปล่อยตัว รุด ฟาน นิสเตลรอย ไปให้กับ เรอัล มาดริด ส่วนกองหน้าคนอื่นๆ กลายเป็นอะไหล่ของเขาทั้ง 2 ไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ซาฮา หรือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา "ในเกมแรกของฤดูกาลใหม่ เราชนะฟูแลม 5-1 ผมยิง 2 ประตู และจ่ายให้เขายิง 1 ประตู ซึ่งนั่นทำให้ทุกอย่างสงบลง เราสนิทกันมากในห้องแต่งตัว เราคือสองคนที่แกล้งผู้จัดการทีมและนักเตะคนอื่นเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราสนิทกันมากขึ้นในสนาม" รูนี่ย์ เปิดใจถึงเหตุการณ์นัดแรกของศึกพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2006-07 ที่ทั้งคู่ได้โอกาสประสานงานร่วมกัน โรนัลโด้ & รูนี่ย์ : เพื่อนรักหักเหลี่ยม จนก้าวมาเป็นคู่หูไล่ล่าความสำเร็จ  ซึ่งทุกอย่างลงล็อคเป็นไปตามที่คิดไว้ทั้ง โด้ และ รูน ต่างช่วยกันกระหน่ำไปมากถึงคนละ 23 ประตู พา "ปีศาจแดง" คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาครองได้สำเร็จ อีกทั้งยังไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลถ้วย 2 รายการอย่าง เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก  ซึ่งจะว่าไปนี่ก็เหมือนเสียงเตือนเหมือนกันว่า ยูไนเต็ด ทีมนี้กำลังทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ ... ในขณะที่ซัมเมอร์ 2007 แมนฯ ยูไนเต็ด จัดการเสริมทัพด้วยอาวุธหนักอย่าง คาร์ลอส เตเบซ บวกด้วย นานี่, อันเดอร์สัน และ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ มันเลยทำให้กลายเป็นว่า 3 ประสานแดนหน้าอย่าง โรนัลโด้, รูนี่ย์ และ เตเบซ คือฝันร้ายของทุกทีม และไม่แปลกที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ รวมไปถึงการคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก มาเชยชม รวมแล้วฤดูกาล 2007-08 โรนัลโด้ จัดการกระหน่ำประตูในทุกรายการไปมากถึง 42 ตุง อีกทั้งพ่วงด้วยความสำเร็จส่วนตัวมากมายทั้งดาวซัลโวลีกยุโรป, นักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า หรือรางวัล บัลลง ดอร์ โดยความร้อนแรงตรงนั้นมันยังคงได้รับการต่อยอดไปเรื่อยๆ เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถคว้าแชมป์สโมสรโลกมาครองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ แอลดียู กีโต้ ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่ง โรนัลโด้ เองก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมอันดับ 2 ของทัวร์นาเมนต์ เป็นรอง เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนซี้รู้ใจจากสโมสรเดียวกัน เท่านั้นยังไม่พอยุคแห่งความร้อนแรงของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น คุณลองคิดดูว่าการมี โรนัลโด้, รูนี่ย์ และ เตเบซ พวกเขายังคงเจาะตาข่ายคู่แข่งเป็นว่าเล่น นี่ทีมได้ไปสอย ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ มาเป็นทางเลือกอีกคนในแนวรุก ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะยังคงป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง และเป็นการคว้าแชมป์แบบ 3 สมัยติดต่อกัน ส่วนในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ก็สามารถกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกันแต่ทว่าพลาดท่าโดน บาร์เซโลน่า สอยคา เวมบลีย์ ไป 2-0 ส่วนผลงานส่วนตัวของ โรนัลโด้ เขาจบฤดูกาลด้วยผลงานกระหน่ำ 26 ประตู คว้าดาวซัลโวของทีมไปครองอีกครั้ง ก่อนที่จะกลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในสีเสื้อของ "ปีศาจแดง" โรนัลโด้ & รูนี่ย์ : เพื่อนรักหักเหลี่ยม จนก้าวมาเป็นคู่หูไล่ล่าความสำเร็จ  ซัมเมอร์ 2009 โรนัลโด้ ได้โอกาสออกไปทำตามความฝันคือการโยกย้ายไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด ปิดฉากชีวิตลูกหนังกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไว้ที่ 6 ปี พร้อมความสำเร็จมากมายที่เขาเป็นกำลังสำคัญในการขนโทรฟี่แชมป์มาวางโชว์ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด สรุปแล้วจากเหตุการณ์ความบาดหมางในเกมแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อปี 2006 กับ เวย์น รูนี่ย์ ทุกอย่างมันถูกวางไว้เป็นภาพจำแค่ในสนามตรงนั้น เพราะเมื่อทุกอย่างมันจบลงเขาทั้งคู่ก็ต่างหันหน้ามาร่วมงานกันในฐานะมืออาชีพคนนึงที่มีเป้าหมายจะนำพาความสำเร็จมาสู่สโมสรต้นสังกัด "ผมเดินไปเจอ โรนัลโด้ ตรงอุโมงค์ทางเดิน ผมรู้สึกว่ามันสำคัญที่ต้องพูดกับเขาแบบต่อหน้าในช่วงที่สถานการณ์มันยังคุกรุ่น เขามองผม เหมือนอยากให้ผมขอโทษ"  "แต่ในตอนนั้นผมมีเพียงแค่ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ในหัว ผมเลยพูดว่า ฉันไม่ได้มีปัญหากับนาย ขอให้นายโชคดีกับทัวร์นาเมนต์นี้ และ เดี๋ยวรอเจอกันในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นพวกเราจะพาทีมเป็นแชมป์ลีกด้วยกัน" ถ้อยคำของ รูนี่ย์ ต่อเหตุการณ์สะท้านวงการในวันนั้น เวลา 3 ปีหลังความบาดหมางมันพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าเขาทั้งคู่ยังคงทำงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยม ต่างคนต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในคู่หูมหาประลัยที่พร้อมระเบิดฟอร์มใส่คู่แข่งได้อยู่ทุกเมื่อ แน่นอนนั้นคือยุคที่อยู่ในความทรงจำของเด็กผีหลายคน ช่วงเวลาที่น่าจดจำของสโมสรแห่งนี้ ช่วงเวลาที่ไม่อาจตอบได้เลยว่าใครคือหมายเลขหนึ่งของทีม แต่ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวทำให้ทุกอย่างมันออกมากลมกล่อมจนได้รับการกล่าวขานจวบจนทุกวันนี้  

- เปา ขอบสนาม -

logoline