logo-heading

ได้บทสรุปเรียบร้อยแล้วสำหรับศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ประจำปี 2021 ซึ่งเป็นทัพ "ตราไก่" ทีมชาติฝรั่งเศส ที่เข้าป้ายคว้าโทรฟี่แชมป์ไปครองได้สำเร็จ ภายหลังนัดชิงชนะเลิศเบียดเอาชนะ สเปน ไปอย่างสนุก 2-1

ซึ่งเส้นทางของพวกเขาถือว่าไม่ได้เรียบง่ายมากเท่าไหร่นักกว่าจะเอื้อมมือไปสัมผัสถ้วยแชมป์มาครองได้ นับตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม จนถึงการลงเล่นรอบน็อคเอาท์ที่เรียกได้ว่ารากเลือดไม่ใช่น้อย ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะไปดูไทม์ไลน์เส้นทางแชมป์ของพวกเขากันหน่อยว่าต้องผ่านอะไรมาบ้าง กว่าจะฝ่าฟันจนพุ่งชนความสำเร็จอีกครั้ง

รอบแบ่งกลุ่ม

เริ่มต้นกันที่รอบแบ่งกลุ่มต้องบอกว่าทันทีที่โผออกมาถือว่าไม่ใช่งานง่ายของพวกเขาเช่นกัน เพราะต้องมาอยู่ร่วมกลุ่มกับ โปรตุเกส เจ้าตัวแชมป์เก่าที่นำทัพมาโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ รวมไปถึงผลงานที่ผ่านมาถือว่าไม่อาจประมาทได้เลยสักนิดเดียว ต่อมาคือ โครเอเชีย ทีมฟอร์มแจ่มจากศีกยูโร 2020 ที่พร้อมล้มพวกเขาได้เช่นกัน สุดท้ายการถูกจับมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับ สวีเดน แม้ทัพ "ไวกิ้ง" จะเป็นชาติน้องใหม่ในลีก A แต่ทว่าผลงานที่ผ่านมาถือว่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในศึกยูโร 2020 ที่ผ่านมาแม้จะร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ผลงานโดยรวมถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนในเรื่องของบทสรุป 6 นัดในรอบแบ่งกลุ่มถือว่าทัพ "ตราไก่" แสดงผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้น่าโค้งหัวคารวะ จากจำนวนดังกล่าวพวกเขาเก็บชัยชนะได้มากถึง 5 เกม มีสะดุดเพียงเกมเล่นในบ้านเสมอกับ โปรตุเกส 0-0 เท่านั้น ส่วนนัดที่เหลือพวกเขาผลิตสกอร์ได้ทั้งหมด  รวมแล้วกระหน่ำประตูคู่แข่งไปได้มากถึง 12 ตุง เสียเพียง 5 ประตู เก็บคลีนชีตได้ 3 เกม จบอันดับ 1 พร้อมกรุยทางผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ ส่วนดาวเด่นในรอบนี้ก็กระจายๆ กันอย่างออกไปไม่ว่าจะเป็น คีเลียน เอ็มบัปเป้, อ็องตวน กรีซมันน์, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ส่องเส้นทางของทัพ ตราไก่ ก่อนซิวแชมป์เนชั่นส์ ลีก ไปครอง

พลิกนรกรอบน็อคเอาท์

ภายหลังแสดงผลงานในรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้ทัพ "ตราไก่" ต้องโคจรมาพบกับ ทีมชาติเบลเยี่ยม ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นการแข่งนัดเดียวรู้เรื่องที่สนามกลางประเทศอิตาลี ซึ่งเกมในวันนั้นทั้งคู่ก็ต่างจัดขุมกำลังชุดที่ดีที่สุดลงสนามฝั่งฝรั่งเศสก็นำมาโดย ราฟาเอล วาราน,  ปอล ป็อกบา, อ็องตวน กรีซมันน์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ส่วนฝั่งเบลเยี่ยมก็ไม่น้อยหน้าจัดเต็มกำลังทั้ง เควิน เดอ บรอยน์ม โรเมลู ลูกากู หรือ เอเด็น อาซาร์ ซึ่งเกมนี้ดูท่าทีเหมือนจะจบตั้งแต่ช่วง 45 นาทีแรกที่ทางฝั่ง เบลเยี่ยม มาได้ 2 ประตูจาก ยานนิค การ์ราสโก้ กับ โรเมลู ลูกากู แต่ทว่าครึ่งหลังต้องชื่นชมในความเก่งกาจของ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ และลูกทีมของเขาที่มากระหน่ำ 3ประตูคืนแบบรัวๆ ไล่มาตั้งแต่ คาริม เบนเซม่า, คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ และ ธีโอ เอร์นานเดซ ที่ซัดนาทีบาปนาที 90 ส่งผลให้พวกเขากรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการนี้ได้เป็นครั้งแรก และไล่ล่าความสำเร็จต่อจากศึกฟุตบอลโลก 2018 โทรฟี่แชมป์ที่เขาเพิ่งสอยมาก่อนหน้าเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง

รอบชิง "ตราไก่ตายยาก"

เดินทางมาถึงนัดชิงชนะเลิศที่จัดการแข่งขันขึ้นที่สนามซาน ซีโร่ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นการโคจรกันมาพบกันของ ฝรั่งเศส และ สเปน ซึ่งถือว่าเป็นมวยถูกคู่ที่ฟอร์มกำลังแรงไม่ต่างกัน ในเรื่องของการจัดตัวก็ถือว่าเป็นขุมกำลังชุดที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ทีม  และนี่ก็เป็นอีกเกมที่ทัพ "ตราไก่" ต้องถูกเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน เมื่อพลพรรค "กระทิงดุ" สอยประตูจาก มิเกล โอยาซาบาล ได้ในช่วงนาทีที่ 64 แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน คาริม เบนเซม่า ก็หลุดไปซัดให้ฝรั่งเศสตามตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนที่เหตุการณ์จะมาพีคเมื่อ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ได้บอลจ่ายทะลุช่องเข้าไปยิงประตูชัยในช่วงนาที่ 80  ซึ่งประตูนี้ก็กลายเป็นประเด็นดราม่าเป็นอย่างมากว่า เอ็มบัปเป้ ควรที่จะถูกจับเป็นจังหวะล้ำหน้า แต่ทว่าผู้ตัดสิน และ VAR ยืนยันว่าเป็นประตู เพราะบอลก่อนที่จะถึง เอ็มบัปเป้ นั้นได้ไปสัมผัสนักเตะของสเปนไปก่อนแล้ว เป็นอันว่าจบเกมฝรั่งเศสสามารถเฉือนเอาชนะได้สำเร็จ พร้อมคว้าโทรฟี่แชมป์มาครองได้สำเร็จ ซึ่งคือแชมป์เนชั่นส์ ลีก สมัยแรกของพวกเขา ต่อจากโปรตุเกสที่ทำได้เมื่อปีที่ผ่านมา  ส่องเส้นทางของทัพ ตราไก่ ก่อนซิวแชมป์เนชั่นส์ ลีก ไปครอง

สตาร์เด่น

ถ้าจะถามหาสตาร์ดาวเด่นจากทัวร์นาเมนต์นี้ของฝรั่งเศสคงยกมือชี้นิ้วไปที่ใครคนเดียวคงเป็นเรื่องลำบาก เพราะหลายคนโชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมพอสมควรอย่างในเกมรุก แม้ คีเลียน เอ็มบัปเป้ จะไม่ได้รับรางวัลดาวซัลโวของรายการ แต่ก็ครองดาวยิงสูงสุดของทีมที่จำนวน 4 ประตู รองลงมาคือ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แม้ใน 2 เกม ในรอบรองชนะเลิศ กับรอบชิง จะเป็นเพียงตัวสำรองก็ซัดไปได้ถึง 3 ประตู ด้วยกัน รวมถึง คาริม เบนเซมา ที่ตั้งแต่กลับมารับใช้ชาติ ฟอร์มการเล่นก็ร้อนแรงต่อเนื่อง ขยับมาที่แดนกลางคนที่โดดเด่นที่สุดคงต้องยกให้ ปอล ป็อกบา ที่เล่นเป็นอิสระมากเหลือเกิน และโทรฟี่แชมป์นี้ก็ทำให้เขาเองยิ้มหน้าบานมากพอสมควร เพราะเป็นความสำเร็จที่รอมานานกว่า 3 ปี นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 เพราะในนามสโมสรเขายังไม่อาจเอื้อมถือไปสัมผัสได้เลย ส่วนในส่วนจิ๊กซอว์คนอื่นๆ ก็ช่วยเติมเต็มทีมได้เยอะไม่ว่าจะเป็น ธีโอ เอร์นานเดซ, อ็องตวน กรีซมันน์, ราฟาเอล วาราน หรือ ชูล์ส กุนเด้ และที่สำคัญคือหัวเรือใหญ่อย่าง ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ที่พาทีมประสบความสำเร็จมีถ้วยแชมป์ติดมืออีกครั้ง

- Paolinho -

logoline