logo-heading

ถ้าจะหากุนซือสักคนที่ผลงานหล่อเหลา ผลงานร้อนแรงเหลือเกินในช่วงนี้แน่นอนชื่อของ เดวิด มอยส์ ต้องเข้ามาอยู่ในโผอย่างแน่นอน ภายหลังพา เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทะยานขึ้นท็อปทรีของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในตอนนี้

ซึ่งด้วยผลงานที่สุดสะเด่าของทัพ "ขุนค้อน" ในตอนนี้เครดิตก้อนโตควรจะมอบให้กับ มอยส์ ผู้ที่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจนกระทั่งได้ทีมที่ลงตัว พร้อมเดินหน้าพิชิตทุกทีมได้เหมือนกัน แต่ทว่ากว่าชีวิตของนายใหญ่ชาวสกอตแลนด์จะมีวันนี้ เขาต้องฝ่ามรสุมลูกใหญ่เหลือเกินนับตั้งแต่ก้าวลงจากตำแหน่งกุนซือของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะในเรื่องของเสียงวิจารณ์ ว่าแล้วเราลองมาไล่เรียงดูกันว่ากว่าจะกลับมาจุดนี้อีกครั้งชีวิต มอยส์ ต้องล้ม และลุกมาแล้วกี่ครั้งบ้าง

ชีวิตหลังคุมทัพ "ปีศาจแดง"

อย่างที่เรารู้กันว่า เดวิด มอยส์ ถูกรับเลือกให้เป็นทายาทอสูรของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งมันก็เป็นไปตามคาดของแฟนบอลหลายคนนั้นก็คือเขาไม่อาจเอาตัวรอดได้ในการอัพเกรดมาคุมทีมใหญ่ แม้ผลงานกับ เอฟเวอร์ตัน จะร้อนแรง และได้รับการขนานนามว่าเป็นกุนซือที่ฝีเท้าจัดจ้านไม่แพ้ใครในอังกฤษ ณ ชั่วโมงนั้นเลยก็ตาม แน่นอนว่าการได้อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เพียง 8 เดือนมันทำให้เขาเสียรังวัดไปไม่ใช่น้อย กลายเป็นตัวตลกในสายตาของแฟนบอลที่ทำเอายอดทีมของอังกฤษในช่วงเวลานั้น ที่เพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลก่อนหน้า กลายเป็นทีมดาดๆ ทีมหนึ่งที่สามารถแพ้ให้กับทุกทีมได้แบบง่ายดาย รวมไปถึงแนวทางการทำทีมของ มอยส์ โดนกระแสวิจารณ์อย่างหนักทั้งที่ตัวผู้เล่นก็ระดับเกรดเอ หัวกระทิของลีกที่พร้อมบวกกับคู่ต่อสู้ทุกทีมอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งวันที่ถูกตะเพิดพ้นตำแหน่งชื่อของ มอยส์ กลายเป็นภาพที่แฟนบอลมองในภาพลบ ว่าคือบุคคลที่ล้มเหลวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างสมบูรณ์แบบ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในตัวเขาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากกุนซือที่มีฝีมือ กลายเป็นโค้ชที่เสียทรงโดนตราหน้าว่าคือผู้ทำลายอาณาจักร "ปีศาจแดง" ย้อนรอยชีวิตของ มอยส์ ต้องฝ่ามรสุมอะไรบ้าง กว่าจะมีวันนี้

กอบกู้ชื่อเสียงที่สเปน

ภายหลังตกงานอยู่ราวๆ 7 เดือน ก็ถึงเวลาที่ มอยส์ ต้องคืนสังเวียนของการเป็นผู้จัดการทีม เพื่ออย่างน้อยเป้าหมายแรกคือกอบกู้ชื่อเสียงที่ป่นปี้ของเขาให้กลับมาเป็นที่ยอมรับให้ได้อีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวเลือกที่จะโยกย้ายไปทำงานที่ประเทศสเปน กับ เรอัล โซเชียลดัด ซึ่งถือว่าเป็นการรับงานนอกประเทศอังกฤษครั้งแรกในชีวิตเส้นทางสายกุนซือของเขาเช่นกัน ซึ่งเนื่องด้วยการเข้ามารับงานกลางซีซั่นหน้าที่หลักๆ ของ มอยส์ คือการทำให้ทีมรอดพ้นอันตรายจากโซนตกชั้นให้ได้ ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรงชีวิตช่วงแรกในศึกลาลีกา สเปน ของเขาก็ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่แบบทนรับไม่ไหว พาทีมจบกลางตารางอันดับที่ 12 แม้ช่วง 10 นัดสุดท้ายของซีซั่น 2014-15 เจ้าตัวจะพา โซเชียลดัด เก็บชัยได้เพียง 2 เกม แต่ก็ยังคงได้รับโอกาสคุมทีมในซีซั่นต่อไปอยู่ดี แต่จนแล้วจนรอด มอยส์ ก็หนีไม่พ้นการถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะการออกสตาร์ทซีซั่น 2015-16 ช่วงเริ่มต้น 11 นัดแรกในเกมลีกเขาพาทีมเก็บไปได้เพียง 9 คะแนน เท่านั้น จากการชนะ 2 เสมอ 3 และแพ้ไปมากถึง 6 เกม ด้วยกัน ทำให้บทสรุปชีวิตในแดนกระทิงก็เป็นอีกครั้งที่ มอยส์ ต้องพบเจอกับความล้มเหลวไม่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของเขาให้กลับมาได้ จะว่าไปเขาก็เหมือนคนเมาหมัดที่ยังไม่อาจเดินออกจากมุม และตั้งสติได้มากพอ ฟุตบอลของ มอยส์ ในยุคที่ทำกับทัพ "ทอฟฟี่" ยังไม่กลับมาอีกเลย นับตั้งแต่โบกมือลาถิ่นกูดิสัน พาร์ค ฉะนั้นในห้วงเวลาดังกล่าวชื่อเสียงของชายชาวสกอตต์เริ่มถูกมองในแง่ของความล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จเสียแล้ว

กลับอังกฤษอีกครั้ง

ภายหลังหวังว่าจะหลบไปเลียแผลใจกอบกู้ความศรัทธาที่สเปนแต่ก็ต้องล้มเหลว ทำให้ช่วงซัมเมอร์ 2016 ซันเดอร์แลนด์ ได้จัดการยื่นข้อเสนอมาให้ มอยส์ พิจารณาเข้ามาเป็นกุนซือ ภารกิจไม่ได้มีอะไรมากมายคือการพาทีมหนีรอดจากการตกชั้นให้ได้ ถือว่ามิชชั่นจะลุล่วงสำเร็จในทันที ซึ่งด้วยลักษณะของ มอยส์ ที่รู้ตื่นลึกของฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างดีภารกิจแบบนี้น่าจะเหมาะสมกับเขาไม่ใช่น้อย แต่ทว่าถ้ามองในอีกมุมหนึ่งมันเป็นเส้นบางๆ กั้นอยู่ถ้าพาทีมรอดได้เขาจะกลายเป็นฮีโร่ของแฟนบอลในทันที แต่ทว่าถ้าไปกันไม่รอดต้องร่วงลงไปในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ภาพลักษณ์ของเขาคงจะป่นปี้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ว่าแล้ว มอยส์ ก็จัดการบรรจงเซ็นสัญญาแต่โดยดี แต่ทว่าทำไปทำมาดูเหมือนอะไรหลายๆ อย่างจะไม่เป็นใจ เพราะจบ 38 นัด ทัพ "แมวดำ" รั้งบ๊วยของตารางเก็บได้เพียง 24 แต้ม ตกชั้นไปตามระเบียบส่วน มอยส์ พอจบซีซั่นก็ดีดตัวเองด้วยการขอลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่จะออกมาให้เหตุผลว่าที่ทีมต้องตกชั้นไปส่วนหนึ่งเพราะเรื่องของเงินเสริมทัพที่ไม่ได้ตามที่ใจตนต้องการ แน่นอนถ้าสังเกตุดีๆ นับตั้งแต่ที่ มอยส์ ก้าวขาออกมาจาก เอฟเวอร์ตัน กราฟชีวิตของเขาดำดิ่งลงเรื่อยๆ ทั้งโดนไล่ออกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด แบบไม่มีเยื่อใย ย้ายไปสเปนก็โดนปลดออกจากตำแหน่งเพราะผลงานที่ห่วยแตก และกลับมาอังกฤษก็พาทีมตกชั้นอีก เรียกได้ว่าชีวิตของเขาพลิกผันในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นจริงๆ ย้อนรอยชีวิตของ มอยส์ ต้องฝ่ามรสุมอะไรบ้าง กว่าจะมีวันนี้

ขัดตาทัพ เวสต์แฮม 

ด้วยสภาวะที่ว่างงานหลังพา ซันเดอร์แลนด์ ตกชั้น บวกกับ เวสต์แฮม ที่ผลงานกำลังระส่ำในช่วงเริ่มต้นซีซั่น 2017-18 ภายใต้การคุมทีมของ สลาเวน บิลิช ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน มอยส์ ก็ได้เข้าไปเป็นกุนซือขัดตาทัพของพลพรรค "ขุนค้อน" เริ่มงานช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และเซ็นสัญญาชั่วคราวเพียงจบฤดูกาลเท่านั้น ซึ่งการกอบกู้ในครั้งนี้ของ มอยส์ แม้จะกระท่อนกระแท่นเล็กน้อย แต่ก็สามารถเข็นพา เวสต์แฮม จบที่อันดับ 13 เก็บไป 42 คะแนน ทำตามเป้าหมายที่เข้ามารับงานได้สำเร็จ และแน่นอนเมื่อสัญญาหมดลงเจ้าตัวก็ไม่ได้รับการขยายออกไปแต่อย่างใด เพราะทางทัพ "ขุนค้อน" ได้ไปติดต่อคว้าตัวกุนซือบิ๊กเนมอย่าง มานูเอล เปเยกรินี่ เข้ามาคุมทัพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้หนุ่มใหญ่จากแดนสกอตต์ต้องกลายเป็นกุนซือว่างงานอีกครั้ง

เวสต์แฮม ครั้งที่สอง

ภายหลังไม่ได้รับสัญญาถาวรจาก เวสต์แฮม เจ้าตัวก็รอนอนงานอยู่ที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ แต่แล้วใครจะคิดว่าด้วยดวงสมพงษ์หรืออะไรก็ตามแต่ เมื่อ มานูเอล เปเยกรินี่ ทำผลงานไม่เข้าเป้าก็เลยทำให้สุดท้ายก็ต้องแยกทางกันไป ซึ่งบอร์ดของทัพ "ขุนค้อน" ก็ได้หวนกลับไปทาบทาม มอยส์ ให้กลับมารับงานอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนเขาตอบตกลงในการหวนคืนถิ่น ลอนดอน สเตเดี้ยม อีกครั้ง แบบไม่ลังเล แม้ขวบปีแรกลงผลงานอาจไม่สวยหรูเท่าไหร่นัก เพราะด้วยการเข้ามาทำทีมกลางซีซั่นเวลาต่างๆ ในการปรับทีมอาจจะไม่ได้มากนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นอีกครั้งที่ มอยส์ พา เวสต์แฮม รอดตายจากการตกชั้นด้วยการมีแต้มเหนือโซนสีแดงเพียง 5 คะแนน เท่านั้น ก่อนที่จะมาเริ่มต้นกันใหม่ในฤดูกาล 2020-21 ที่เขามีเวลาเตรียมทีมมากกว่าเดิม ซึ่งเมื่อมีโอกาสจัดการทีมของตัวเองทั้งเรื่องการซื้อตัว วางแท็คติก กราฟชีวิตของ มอยส์ และ เวสต์แฮม ก็เริ่มพุ่งขึ้นเรื่อยๆ จากกลางตารางค่อยๆ ขยับจนมีโอกาสลุ้นซิวตั๋วไปลุยศึก แชมเปี้ยนส์ลีก แม้บทสรุปจะเข้าป้ายจบอันดับ 6 แต่ทว่าพวกเขามีแต้มตามหลังท็อปโฟร์เพียง 2 คะแนน เท่านั้น และมีอันดับที่ดีกว่าทั้ง สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล ด้วย ย้อนรอยชีวิตของ มอยส์ ต้องฝ่ามรสุมอะไรบ้าง กว่าจะมีวันนี้ และกับฤดูกาลปัจจุบัน มอยส์ ยังคงสภาพความร้อนแรงได้อยู่เหมือนเดิมด้วยการพาทีมบินสูงรั้งอันดับ 3 อยู่ในตอนนี้ แม้จะเพิ่งผ่านการแข่งขันไปเพียง 11 นัดเท่านั้น แต่ทว่าด้วยแบบแผนการเล่น แนวทางที่ มอยส์ เลือกใช้ ดูทรงแล้วมันดูดีมีอนาคตมากเลยทีเดียว ทั้งที่ตัวนักเตะไม่ได้มีชื่อเสียง หรือคุณภาพทัดเทียมกับเหล่าทีมใหญ่ๆ เลย ซึ่งนี่แหละครับชีวิตของ มอยส์ จากกราฟชีวิตที่ตกต่ำแบบขั้นสุดต้องตระเวนหางานเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง แต่ทว่าทุกอย่างมันย่อมต้องใช้เวลา  ชีวิตของ เดวิด มอยส์ ล้มหลายครั้งเอามากๆ และที่บาดเจ็บสุดคงเป็นคำจารณ์แบบเสียๆ หายๆ จากแฟนบอลในโลกโซเชียลถึงฝีมือของเขาที่ถูกตำหนิมาตลอดนับตั้งแต่ลงจากบัลลังก์ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด  แต่สุดท้ายเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีความเก่งกาจมากขนาดไหน ...

มรสุมลูกใหญ่เขามันได้ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อจากนี้เหลือแต่ท้องฟ้าที่สดใส 

ซึ่งมันสดใสเห็นอนาคตมากกว่าบางสถานที่ที่เขาเคยไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ

- Paolinho -

logoline