logo-heading
สโมสร ลิเวอร์พูล มักจะมีลูปหรือวงจรอุบาทว์อยู่อย่างหนึ่ง ที่โดนแฟนบอลทีมอื่นล้อเป็นประจำ นั่นคือก่อนเปิดฤดูกาล เราจะเป็นแชมป์ พอไปสักพัก ก็จะหมดลุ้นช่วงกลางทาง จากนั้นก็พยายามมาลุ้นเป้าหมายที่ต่ำกว่าในตอนท้ายซีซั่น พอจบซีซั่น ก็จะจบด้วยคำพูดที่ว่าเราจะกลับมาลุ้นแชมป์ในปีหน้า และก็จะกลับมาเริ่มต้นฤดูกาลด้วยคำว่าเราจะเป็นแชมป์ วนแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนถึงตอนนี้แม่งก็ 27 ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสกับตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ ลีก เต็มที่ก็ได้ใกล้เคียงเท่านั้น แต่ว่าปีนี้ทีม “หงส์แดง” ตะแคงฟ้าของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนไป ผ่านมา 16 นัด พวกเขาดูดีขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ แม้ว่าตอนนี้จะบอกได้ไม่เต็มปากว่าพวกเขาจะเป็นแชมป์หรือไม่ เพราะว่าเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่แข็งแกร่งเหลือเกิน แต่ว่าสิ่งที่พูดได้เต็มปากก็คือ พวกเขายกระดับกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์แบบเต็มตัวไปแล้ว และบางทีโอกาสที่การรอคอยอันแสนยาวนานจะสิ้นสุดลง และนี่คือเหตุผลที่ทางขอบสนามได้เห็นตั้งแต่เริ่มซีซั่น จนแปรเปลี่ยนมาเป็นโอกาสลุ้นแชมป์ 5 เหตุผลที่ส่ง ลิเวอร์พูล ขึ้นมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 1. ปรับจังหวะฟุตบอลเฮฟวี่ เมทัล ลิเวอร์พูล ที่เราเห็นนับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมก็คือการบุกแบบเป็นบ้าเป็นหลัง หลายนัดยิงประตูได้ถล่มทลาย ตามปรัชญาฟุตบอล เฮฟวี่ เมท้ล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยกล่าวเอาไว้ กับการไล่บี้คู่แข่งจนหยุดสุดท้าย แน่นอนว่า มันเป็นอะไรที่ถูกใจวัยรุ่นนักแล แต่ว่า ตัวโน้ตที่หนักหน่วงในทุกจังหวะของฟุตบอลแบบนี้ มันก็ไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป เพราะว่าอย่างที่เราเห็นกันหลายครั้ง ไม่ว่าจะยิงประตูเท่าไหร่ มันก็ไม่เพียงพอกับชัยชนะ บางครั้งยิง 2 แต่ว่าโดนไป 3 ขนาดยิง 3 ยังโดนไป 4 ก็ยังมี มันเลยเป็นฟุตบอลที่ได้ใจ แต่ไร้ซึ่งผลการแข่งขันที่ต้องการ ทำแต้มหล่นเรี่ยราดไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่ว่า คราวนี้ฟุตบอล เฮฟวี่ เมทัล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มันปรับเปลี่ยนไป เปรียบเป็น ดนตรีนั้นไม่ได้ใส่หนักหน่วง หูแทบแตกในทุกจังหวะ มันมีการผ่อนหนักผ่อนเบา มีโน้ตที่ละมุนขึ้น ได้ดูความหลากหลายลูกเล่นในแต่ละเพลงที่บรรเลง ถ้ามาเปรียบเปรยกับฟุตบอลก็คือเขารู้จักที่จะปิดเกมมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เล่นมันส์แบบแต่ก่อน แต่ก็ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ หลายครั้งที่เกมออกเบียด พวกเขาสามารถปิดเกมและคว้าชัยชนะได้ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาได้อย่างชัดเจน 5 เหตุผลที่ส่ง ลิเวอร์พูล ขึ้นมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 2. แนวรับสุดแพงแต่แสนคุ้ม ตอนที่ ลิเวอร์พูล คว้าตัว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวดัตช์ มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ เป็นสถิติโลกของตำแหน่งกองหลังเมื่อช่วงปีใหม่ กับตอนที่คว้าตัว อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารชาวบราซิลจาก อาแอส โรม่า ด้วยค่าตัว 66 ล้านปอนด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ ซึ่งก็เป็นสถิติโลกในตำแหน่งผู้รักษาประตูเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะโดน เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ทำลายลงในเวลาต่อมา หลายคนก็ไปวิจารณ์ทีม “หงส์แดง” ว่ามึงบ้าหรือเปล่า กับการที่ซื้อแนวรับค่าตัวระดับนี้ ยิ่งตอนที่คว้าตัว อลิสซอน นี่โดนหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าจ่ายแพงเกินไปหรือเปล่า แต่ว่าตอนนี้มันเป็นดีลที่สุดแพงแต่แสนคุ้ม สิบเนื่องจากเหตุผลข้อแรกที่เราบอกกันว่า ลิเวอร์พูล นั้นรู้จักที่จะปิดเกม ไม่ใช่แลกเป็นบ้าเป็นหลังเสมอไป แต่ว่าถ้าหากว่า เกมรับยังเป็นนักเตะชุดเดิมที่รั่วเป็นกระดาษทิชชู่เปียกน้ำ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำแบบนี้ได้แต่ว่าอย่างที่เราเห็นกัน ฟาน ไดค์ นั้นคุมแนวรับได้อย่างแข็งแกร่ง ไม่ได้เพียงแค่ตัวเองเล่นดีเท่านั้น ยังสามารถประคองดาวรุ่งอย่าง โจ โกเมซ ได้อย่างยอดเยี่ยม จน โกเมซ ยิ่งเล่นก็ยิ่งมั่นใจและได้ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อย ส่วน ฟาน ไดค์ ก็กลายเป็นนักเตะแนวรับที่เรียกได้ว่าดีที่สุดคนหนึ่งของยุโรป ส่วน อลิสซอน นั้นไม่ต้องพูดถึง นอกกจากจังหวะทะเล่อทะล่าในเกมที่เจอกับ เลสเตอร์ ที่เลี้ยงบอลหน้าประตูจนโดนฉกไปยิง เราแทบไม่เห็นความผิดพลาดจากนายทวารหนุ่มชาวบราซิลคนนี้อีกเลย ตรงกันข้าม เขาเซฟจังหวะสำคัญ ๆ ได้หลายต่อหลายครั้ง และมันแปรเปลี่ยนเป็นแต้มมากมายให้กับ “หงส์แดง” นำเป็นจ่าฝูงอยู่ในตอนนี้ แค่นี้ก็ชัดแล้วล่ะครับว่าการลงทุนในครั้งนี้ของ ลิเวอร์พูล นั้นไม่ได้แพงเกินจริงแต่ว่ามันคุ้มค่าซะยิ่งกว่าคุ้ม 5 เหตุผลที่ส่ง ลิเวอร์พูล ขึ้นมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 3. ไร้ปัญหากับการตบเด็ก ปัญหาหนึ่งที่ ลิเวอร์พูล นั้นไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียทีในลีก ทั้ง ๆ ที่มักจะทำได้ดีกับการเจอกับทีมใหญ่ ๆ ก็คือปัญหาการเจอกับทีมเล็ก ๆ หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาทำผลงานได้ดีในการเจอกับทีมใหญ่ อย่างปีก่อนก็สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ แต่ว่าก็ดันมาทำแต้มหกเรี่ยราดจนแฟนบอลแทบปวดกบาลว่าแบบนี้มึงจะเอาชนะทีมใหญ่ไปทำซากอะไรฟะ และมันก็เป็นที่มาของการหมดลุ้นแชมป์มาหลายต่อหลายครั้ง การเล่นเกมลีก ถ้าหากว่าจะประสบความสำเร็จนั้นคุณต้องสม่ำเสมอกับซีซั่นที่ยาวนาน การเก็บแต้มกับทีมเล็ก ๆ หรือที่เรียกภาษาคอบอลว่าตบเด็กนี่ล่ะคือสิ่งสำคัญ มันคือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ยากเย็นเหลือเกินในปีก่อน ๆ แต่ว่าปีนี้พวกเขาสามารถทำได้ และก็ทำได้ดีซะด้วย หลายเกมที่เล่นไม่ได้ดีนัก แต่ว่ามันก็ดีพอที่จะชนะทีมที่เป็นรองได้ มันก็เลยทำให้แต้มของพวกเขากระฉูดน้ำแตกทะลักแบบที่เห็น 5 เหตุผลที่ส่ง ลิเวอร์พูล ขึ้นมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 4. ขนาดทีมที่ใหญ่ขึ้น สิ่งหนึ่งที่ ลิเวอร์พูล ปีนี้มีเพิ่มขึ้นมาก็คือเรื่องของขนาดทีม ในซีซั่นก่อน ๆ เจอร์เก้น คล็อปป์ นั้นจะมีปัญหามากหากว่ามีนักเตะบาดเจ็บ หรือว่ามีเกมนัดสำคัญรออยู่ในช่วงกลางสัปดาห์ ที่จะต้องมีการโรเตชั่น นักเตะเพื่อให้ทีมที่มีสภาพร่างกายที่ดีที่สุดสำหรับการลงเล่น แต่ด้วย มาตรฐานของนักเตะที่ค่อนข้างห่างกันระหว่างตัวจริงกับตัวสำรอง มันก็เลย คล็อปป์ นั้นจำเป็นต้องเข็นตัวหลักลงเกือบทุกเกม มันก็แลกมาซึ่งอาการบาดเจ็บ และ นักเตะตัวหลักร่างกายกรอบเป็นข้าวเกรียบ แต่ว่าในปีนี้ อย่างที่เราได้เห็น ตัวของยอดโค้ชชาวเยอรมัน สามารถพักตัวหลักได้ในบางเกม แล้วไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการแข่งขันสักเท่าไหร่ การมาของ เชอร์ดาน ชาคิรี่ , นาบี เกอิต้า หรือจะเป็น ฟาบินโญ่ ที่เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะยังไม่ตามที่หลายคนคาดหวังเอาไว้ ก็ทำให้แดนกลางมีการหมุนเวียนตัวผู้เล่นได้คล่องมากขึ้น และทำให้การเพรสซิ่งที่ใช้พลังงานค่อนข้างเยอะ สัมฤทธิ์ผลในแต่ละเกม เท่านั้นยังไม่พอ ในเกมรุก แน่นอนว่าตัวหลักก็คือสามประสาน โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ,​ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ แล ซาดิโอ มาเน่ คือตัวเลือกแรกอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่า สามคนนี้มันคงไม่สามารถกินเหล็กกินไหล ลงเล่นพร้อมหน้าพร้อมตากันได้ทุกนัดแน่ ดังนั้นมันก็ต้องมีตัวแทน และในปีนี้นักเตะที่แฟนหงส์ ไม่ได้คาดหวังพวกเขากลับมาเป็นอะไหล่ชั้นดีให้กับทีมได้อีกครั้งอย่าง แดเนียล สเตอร์ริดจ์ กองหน้าจอมเจ็บที่ปีนี้มาในบทบาทซูเปอร์ซับ และทำประตูสำคัญให้กับทีมหลายนัด หรือจะเป็น ดิวอค ออริกี้ ที่หลายคนคิดว่า แม่งย้ายทีมไปแล้ว ก็ลงมาช่วยทีมได้ในยามคับขันเช่นเดียว ซึ่ง การมีพวกนี้ลงมาสลับสับเปลี่ยน มันก็ทำให้ ลิเวอร์พูล นั้นสามารถยืนระยะได้ดีขึ้น และมีทีเด็ดจากม้านั่งสำรอง ยามตัวจริงเล่นไม่ออกนั่นเอง 5 เหตุผลที่ส่ง ลิเวอร์พูล ขึ้นมาลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก 5. โชคที่เข้าข้าง กับหลายอย่างที่เป็นใจ ทีมที่จะเป็นแชมป์บางทีเก่งอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีเฮงเข้ามาช่วยด้วย ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล เองก็เกือบจะได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก มาแล้วเมื่อปี 2014 แต่ว่าไปจังหวะลื่นของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้พวกเขาชวดแชมป์ไป หรือจะเป็นตอนปี 2009 ที่ พวกเขากำลังทำแต้มไล่บี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแบบคู่คี่ จนเกือบจะแซงได้อยู่แล้ว แต่ว่า ฟ้าก็ส่ง เฟเดริโก้ มาเคด้า กองหน้าดาวรุ่งชาวอิตาเลียน มายิงประตูชัยในช่วงทดเจ็บในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ส่งทีม “ปีศาจแดง” คว้าแชมป์ในบั้นปลาย ดังนั้น จะบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีส่วนก็คงเป็นไปไม่ได้ เกมที่น่าเสมอกลับมาชนะ เกมที่น่าจะแพ้ดันกลับมาเสมอ คือส่วนสำคัญที่ทีมลุ้นแชมป์มักจะมี และตอนนี้ ลิเวอร์พูล ก็มีมันเช่นเดียวกัน มีหลายนัดที่พวกเขาไม่ได้เล่นได้อย่างไฉไลเป็นบ้า แต่ว่ามันก็เพียงพอที่จะฆ่าคู่แข่งให้ตาย หรือจะเป็นเกมที่พบกับ ซิตี้ และ เชลซี ที่ถ้าดูตามทรงเกมพวกเขาควรจะแพ้ แต่ว่าก็มาตีเสมอ เชลซี ในช่วงท้ายเกมจาก ลูกยิงไกลสุดสวยของ สเตอร์ริดจ์ หรือจะเป็นเกมที่เจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มาโดนจุดโทษท้ายเกม แต่ว่า ริยาด มาห์เรซ ก็ยิงจุดโทษไม่เข้าอีก ที่ชัดที่สุดก็คือศึก เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ ที่เกมนั้นมันต้องจบลงด้วยเสมอ แต่ว่าก็มาดันได้ชัยชนะจากประตูมหัศจรรย์ของ ดิวอค ออริกี้ ในช่วงวินาทีสุดท้ายของเกม โชคและดวงมันก็เป็นส่วนประกอบหนึ่ง แต่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ แบบนี้แน่หากปราศจากการเล่นที่ยอดเยี่ยม และ ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมถอยจนวินาทีสุดท้าย ซึ่งนี่ล่ะคือคุณสมบัติของทีมที่จะเป้นแชมป์ ซึ่ง ลิเวอร์พูล นั้นมีมันพร้อมแล้ว แต่ว่าสุดท้ายแล้ว พวกเขาจะไปสุดทางหรือไม่ เพราะว่า อุปสรรคชิ้นโตของพวกเขาก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้แข็งแกร่ง และก็มีปัจจัยเหล่านี้เกื้อหนุนเช่นเดียวกัน
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline