logo-heading

เป็นเกมที่เข้มข้น และ สนุกตื่นเต้นเหลือเกิน ระหว่าง เบลเยี่ยม กับ เดนมาร์ก ในศึก ยูโร 2020 เพราะผลการแข่งขันมันเกือบจะมีเซอร์ไพรส์ แต่กลายเป็นว่า เควิน เดอ บรอยน์ มาแย่งซีนทุกคน เมื่อฉายแสงความเป็นซูเปอร์สตาร์ ลงสำรองมาเป็นทีเด็ด ช่วยให้ ปีศาจแดงแห่งยุโรป เก็บ 3 แต้มสำคัญ

จริงๆเกมนี้ขุนพล โคนม มาด้วยแท็คติคอันยอดเยี่ยม บีบเพรสซิ่งจน เบลเยี่ยม ไปไม่เป็นช่วง 45 นาทีแรก แต่ครึ่งหลังก็ดันมาแพ้ภัยให้กับผู้ชายที่ชื่อว่า เดอ บรอยน์ เอาเป็นว่าเกมนี้มีประเด็นอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง ไปย้อนความมันส์ให้ดูกันอีกครั้งดีกว่าครับพี่น้อง

- เจสัน เดนาเยอร์ มอบของขวัญ

"นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ" เพียงแค่ 99 วินาที แฟนบอล เบลเยี่ยม ถึงกับอึ้งแดก เมื่อการเซ็ตบอลจากแดนหลังของ เจสัน เดนาเยอร์ ไปจ่ายบอลพลาด ไม่ตรงเพื่อน ทำให้โดน ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก กองกลาง เดนมาร์ก วิ่งมาเพรสซิ่ง และ ตัดบอลตรงบริเวณหัวกะโหลก ก่อนจะไหลไปให้กับ ยุสซุฟ โพลเซ่น ตรงเส้นกรอบเขตโทษ  โพลเซ่น แต่งบอล 1 ที ก่อนจะซัดด้วยขวา บอลพุ่งเสียบมุมอย่างเฉียบคม หมดปัญญาที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ จะเซฟเอาไว้ได้ ส่งผลให้ เดนมาร์ก ขึ้นนำ เบลเยี่ยม 1-0 แบบเซอร์ไพรส์ โดย ประตูนี้ของ โพลเซ่น นับเป็นประตูที่ยิงเร็วที่สุด เป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ศึก ยูโร รอบสุดท้าย อีกด้วย

- เตะบอลทิ้ง ให้เกียรติกับ อีริคเซ่น

ถึงแม้ว่า เบลเยี่ยม กับ เดนมาร์ก จะต้องห้ำหั่นกันในสนาม และ เบลเยี่ยม อยากได้ประตูตีเสมอ แต่กระนั้น "มิตรภาพ" และ "เพื่อนมนุษย์" มันสำคัญกว่า โดยเกมนี้ เมื่อถึงนาทีที่ 10 นักเตะ "ปีศาจแดง" แห่งยุโรป ได้เตะบอลออกข้างสนาม ขณะกำลังครองบอล เพื่อเป็นเกียรติและยินดีกับ คริสเตียน อีริคเซ่น เจ้าของหมายเลข 10 ทีมชาติเดนมาร์ก ที่ฟื้นจากความตาย กลับมาอยู่ในอาการปลอดภัย และ นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาล หลังหัวใจวายเฉียบพลัน เกมพบกับ ฟินแลนด์ ซึ่งทั้งนักเตะ เบลเยี่ยม และ โคนม รวมถึงทุกคนในสนาม ต่างยืนปรบมือให้ อีริคเซ่น เป็นเวลา 1 นาที

- ครึ่งแรก เดนมาร์ก บุกใส่ เบลเยี่ยม จนโงหัวไม่ขึ้น

ไม่รู้เหมือนกันว่า เดนมาร์ก ไปกินอะไรมา นักเตะแต่ละคนวิ่งคึกเป็นม้า ถึงแม้ชื่อชั้นจะเป็นรอง แต่ 45 นาทีแรก ต้องบอกว่า ขุนพล "โคนม" ทำผลงานได้ดีกว่า มีโอกาสบุกเข้าใส่เพื่อทำประตูที่ 2 หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะของ มิคเคล ดัมส์การ์ด ที่เลี้ยงบอลแบบ สะมะกึ๊ก สะมะกั๊ก พริ้วหนีนักเตะ เบลเยี่ยม 2 คน และ พยายามปั่นด้วยซ้าย แต่บอลไม่ตรงกรอบ ส่วน เบลเยี่ยม แทบไม่มีโอกาสบุกใส่ เดนมาร์ก เลยสักครั้งเดียว เรียกว่า โรเมลู ลูกากู หรือ ดรีส์ เมอร์เท่นส์ ต้องนั่งตบยุงกันเลยทีเดียว ซึ่งต้องชื่นชมแท็คติคการเพรสซิ่งของทัพ โคนม ที่สามารถหยุดทีมอันดับ 1 ของโลก จากแรงกิ้ง ฟีฟ่า ได้อย่างอยู่หมัด

- มาร์ติเนซ แก้เกมเร็ว ส่ง เดอ บรอยน์ ต้นครึ่งหลัง

ด้วยรูปเกมของ เบลเยี่ยม ในช่วง 45 นาทีแรก ถึงขั้น "ปวดกบาล" ทำให้ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ ต้องแก้เกมเร็ว ด้วยการถอด เมเท่นส์ ออกตอนพักครึ่ง และ รีบส่ง เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ตัวหลัก ที่สลัดอาการบาดเจ็บ กลับมาลงสนาม ซึ่งการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ สร้างอิมแพ็คของเกมอย่างยิ่ง เพราะมันเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง ดั่งวลีที่ว่า "ครึ่งหลังหนังคนละม้วน"

- เคดีบี โคตร เวิลด์ คลาส

หลังจาก เควิน เดอ บรอยน์ อยู่ในสนาม 10 นาที เกมก็เปลี่ยนไปทันที โดยเฉพาะเกมรุก และ การสวนกลับของ เบลเยี่ยม มันมีประสิทธิภาพมากเหลือเกิน กระทั่งนาที 55 เมื่อ โรเมลู ลูกากู ลงต่ำไปล้วงบอลจากกลางสนาม ก่อนจะพาบอลขึ้นทางขวาเข้าไปในกรอบเขตโทษ ลูกากู ตบบอลย้อนกลับมาให้กับ เควิน เดอ บรอยน์ ซึ่งเพลย์เมกเกอร์แห่งค่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้โชว์ทักษะอันสุดยอด ทำท่าหลอกว่าจะยิง ก่อนจะยึกบอลแตะไปข้างหน้า 1 จังหวะเพื่อหาช่องว่าง เรียกว่าหลอกแนวรับ เดนมาร์ก 3 คน จนหลังหัก ก่อนจะมีช่องเปิดมาตรงกลางประตูให้กับ ธอร์กกาน อาซาร์ วิ่งเข้ามายิงโล่งๆ ตีเสมอให้ เบลเยี่ยม เป็น 1-1

- เดอ บรอยน์ ตัวทีเด็ด ยิงแซง เบลเยี่ยม

พอทาง ปีศาจแดงแห่งยุโรป ตีเสมอ 1-1 ทางด้าน มาร์ติเนซ ก็จัดชุดใหญ่ใส่ไข่ดาว ด้วยการส่ง เอแด็น อาซาร์ เข้ามาเพิ่มออปชั่นความทะลุทะลวง พร้อมกับ อั๊กเซล วิตเซล มาช่วยเชื่อมเกมตรงแผงมิดฟิลด์ โดยถอด ยานนิค การ์ราสโก้ กับ เลอันเดร์ เดน​ดองเกอร์ ออกมานั่งข้างสนาม แค่เห็นตัวผู้เล่นก็รู้แล้วว่า เบลเยี่ยม ต้องการ 3 คะแนน มากเพียงใด พวกเขาพยายามแบบมืดฟ้ามัวดิน ไม่ให้ เดนมาร์ก ได้เห็นเดือน เห็นตะวัน การส่งสำรองลงมาของ มาร์ติเนซ มันสร้างอิมแพ็คมากเหลือเกิน ไม่ใช่แค่ เดอ บรอยน์ เท่านั้น แต่การมาของ เอแด็น อาซาร์ มันทำให้เกมดูหวือหวามากขึ้น กระทั่งนาที 70 เบลเยี่ยม โชว์ความเป็นทีมเวิร์ค ต่อบอลกันอยู่หน้ากรอบเขตโทษ เดนมาร์ก โดย ยูรี เตเลมันน์ เปิดให้กับ อาซาร์ ผู้น้อง ตรงหัวกะโหลก ก่อนจะแปะสั้นๆให้กับ อาซาร์ ผู้พี่ และ เอแด็น บรรจงไหลให้กับ เดอ บรอยน์ วิ่งมาใส่เต็มตีนซ้ายจากนอกกรอบเขต บอลพุ่งเรียดเสียบเสาแรกไปอย่างเฉียบคม ให้ เบลเยี่ยม แซงขึ้นนำ 2-1 ซึ่งประตูนี้ของ เดอ บรอยน์ เป็นการตอกย้ำว่า นี่คือนักเตะระดับ "เวิลด์ คลาส" อย่างแท้จริง เพราะอยู่ในสนามเพียงแค่ไม่ถึง 30 นาที ก็สร้างผลงาน ยิง 1 จ่าย 1 ให้กับทีม เรียกว่าเสียงยกย่องเต็มไปทั่วโลกโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค

- ท้ายเกม เดนมาร์ก เกือบตีเสมอ

ถึงแม้ว่า โมเมนตั้ม มันจะเหวี่ยงกลับมาทางฝั่งของ เบลเยี่ยม แต่กระนั้น เดนมาร์ก ก็ไม่ยอม ช่วงท้ายเกม พยายามจะบุกอย่างหนัก เพื่อหวังทำประตูตีเสมอให้ได้ เพราะหากพ่ายแพ้ 2 เกมติด โอกาสตกรอบสูงมาก จากโอกาสที่พอจะมีหวาดเสียวบ้าง สุดท้ายความพยายามเกือบจะสัมฤทธิ์ผล เมื่อ เดนมาร์ก น่าจะได้ประตูตีเสมอแบบสุดๆ จากช็อตที่ เยนส์ ลาร์เซ่น เปิดบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษ ให้กับ มาร์ติน เบรธเวท ขึ้นโหม่งเอาชนะคู่แข่ง ได้เช็ดเลือกมุมแล้ว ชนิดที่ กูร์กตัวส์ ได้แต่มองด้วยสายตา แต่ทว่าบอลย้อยไปชนคาน โกลถึงกับอุทานว่า "เช็ดเข้"  ช็อตนั้น นักเตะ และ แฟนบอล เบลเยี่ยม เป่าปากด้วยความโล่งใจ เพราะถ้าโดนลูกนั้น อาจไม่มีเวลายิงแซงอีกแล้ว โดยช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก็ประคองเกมปิดจ็อบ เก็บ 3 แต้ม ได้สำเร็จ คว้า 6 คะแนน จาก 2 นัด การันตีผ่านสู่รอบน็อคเอาท์แล้วเรียบร้อย ถึงแม้ยังเหลืออีก 1 เกม ก็ตาม ส่วน เดนมาร์ก แม้ว่าจะแพ้มาสองนัดรวด แต่ว่านัดสุดท้ายพวกเขาก็ยังมีลุ้น หากว่าสามารถเอาชนะรัสเซีย ได้ โอกาสของพวกเขาก็ยังไม่หมด และมีโอกาสปูทางต่อไปในรายการนี้เช่นเดียวกัน

ฮาย ฮาวดี้

logoline