logo-heading

เคยมีโอกาสดูหนังสารคดีฟุตบอลมาก็เยอะ แต่ก็ไม่เคยอินและรู้สึกได้มากมายเท่ากับเรื่องราวท่านเซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อปู่บ็อบ ช่วงรอยต่อตอนทำบาร์เซโลน่า, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กลับมาอีกครั้ง ทั้งที่ท่านล่วงลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว

อันที่จริงผมจะดูหนังเรื่องอื่นในแพลตฟอร์มของ Netflix และไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่า Bobby Robson: More Than a Manager มีให้รับชม อารมณ์การเล่าเรื่องราวในตัวหนังใช้เสียงของบ็อบบี้ เป็นตัวนำเรื่อง ในเหตุการณ์สำคัญ สอดแทรกด้วยคำสัมภาษณ์จากบุคคลที่ใกล้ชิดในแต่ละช่วงเวลา การลำดับภาพอาจจะสลับไปสลับมา แต่ถึงกระนั้นเรื่องราวแต่ละซีนที่ปรากฏสู่สายตาคนดูรู้สึกได้ว่าเรื่องราวของ บ็อบบี้ น่าทึ่งชวนน่าติดตาม ชายผู้ไม่ยอมแพ้สังขาร ไม่ยอมแพ้ต่อโรคร้ายที่มาเล่นงานในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาเลือกที่จะยังมุ่งมั่นทุ่มเทกับฟุตบอล สิ่งที่เขารักต่อไป ข้อความที่หนังสื่อสารออกมาคือหาถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเป็นยิ่งกว่าผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จ และให้แรงบันดาลใจกับผู้คนมากมายเหลือเกิน ตัวหนังใช้เส้นเรื่องในปี 1995 ช่วงที่ปู่บ็อบ มีอาการโรคมะเร็งที่ล่ามเข้าไปในศรีษะ ถ้าเป็นคนอื่น อายุเยอะแล้ว คงพอหยุดไม่เอาแล้วกับฟุตบอล แต่เขากลับไม่ยอมละทิ้งฟุตบอล มุ่งหน้าหาความท้าทายใหม่กับจ็อบที่ใหญ่โตด้วยการเซ็นสัญญากับบาร์เซโลน่า จากนั้นสารคดีก็ค่อยๆนำพาเราไปพบกับเรื่องราวที่มาที่ไปของชีวิตการเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งจุดเริ่มต้นแรกก็เกิดที่อิปสวิช ทาวน์ สโมสรทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอังกฤษ ในปี 1969 เขาปลุกเสกทีมฟุตบอลธรรมดา พาทีมได้แชมป์บอลถ้วยเอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ ชีวิตเกือบ 13 ปี ในถิ่นพอร์ตแมน โร้ด ทำให้ถูกดึงตัวไปทำทีมชาติอังกฤษ พาร์ทนี้มีเนื้อหาหลักอยู่ 2 ประเด็นคือฟุตบอลโลก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี1986 ที่พบอาร์เจนติน่า พวกเขาแพ้ตกรอบ แต่ประเด็นที่ถูกพูดถึงคือการทำแฮนด์บอลของดิเอโก้ มาราโดน่า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรับได้ และตัวบ็อบบี้ก็หัวเสียอย่างรุนแรงที่ความผิดพลาด ส่งผลต่อการตกรอบ ตามมาด้วยเรื่องราวการลาออกจากการเป็นกุนซือทีมชาติอังกฤษ ก่อนไปแข่งเวิลด์ คัพ ปี 1990 ที่อิตาลี แน่นอนว่า เขาโดนสับแหลกไม่มีชิ้นดีจากสื่อมวลชนในบ้านเกิดตัวเองแท้ แต่เขากับรับมือเรื่องราวตรงนี้ได้ น่าเสียที่ฝันจะพาทีมเข้าชิงบอลโลกในครั้งนั้น จบด้วยลงการแพ้จุดโทษเยอรมันตะวันตกและทีมได้อันดับ 4 ในซีนอังกฤษ เราได้เห็นคนคุ้นเคยมาพูดถึงปู่บ็อบ ทั้ง แกรี่ ลินิเกอร์ , เทอรรี่ บุชเชอร์ และ พอล แกสคอยส์ ลูกทีมสิงโตคำรามในชุดนั้น คนส่วนใหญ่คิดว่าการเป็นกุนซือระดับทีมชาติคือจุดสูงสุดของตัวเองแล้วก็รีไทร์ตัวเองซะ แต่บ็อบบี้นั้นไม่ใช่ เขามีแรงปรารถนาที่อยากไปพิสูจน์ตัวเองในต่างแดน วัฒนธรรมใหม่ แวดล้อมใหม่ๆ ภาษาใหม่ๆ พีเอสวี ที่ฮอลแลนด์คือจุดหมายปลายทาง ที่นั้นเขาประสบความสำเร็จได้แชมป์ 2 ปี แถมยังมานั่งฝึกภาษาดัตซ์เรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ แฟร้งค์ อาร์เนเซ่น ผู้อำนวยการกีฬายอดทีมกังหนลมทึ่งกับสิ่งที่บ็อบบี้ ทำมาก เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ว่าอายุเท่าไหร่คนเราก็เรียนรู้ได้ เป็นบุคคลที่เข้ากันเองกับผู้บริหารและลูกทีมได้ ตามมาด้วยการไปผจญภัยที่โปรตุเกส, สปอร์ติ้ง ลิสบอน, เอฟซี ปอร์โต้ จากนั้นหนังก็ลงรายละเอียดในซีนบาร์เซโลน่าเยอะ เพียงแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดทีเดียว แต่ตัดเหตุการณ์ไคล้แมกซ์ของปู่บ็อบ การเซ็นสัญญานำกองหน้าดาวรุ่งโนเนมบราซิเลี่ยน โรนัลโด้ นาซาริโอ ก่อนที่หมอนี่จะใช้พรสวรรค์ผสมผสานกับสัญชาติยานในการครอบครองบอลสังหารประตูเป็นว่าเล่น เขาสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนร่วมทีมและบ็อบบี้ จนกลายเป็นสตาร์ดังในชั่วข้ามคืน ตามด้วยการเล่าถึงโชเซ่ มูรินโญ่ บ็อบบี้ ไฟท์เพื่อให้ได้นำตัวไอ้หนุ่มโปรตุกีสผู้นี้ไปเป็นทั้งล่ามและผู้ช่วยโค้ช ชีวิตที่คาตาลัน บ็อบบี้มีความสุขเขาเอนจอยกับทีมที่เขาได้มีนักเตะคุณภาพอยู่ล้นมือ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ล่วงหน้าสโมสรวางแผนไว้แล้วว่าเขาจะไม่ได้คุมทีมต่อ กระแสแฟนบอลกดดันหนัก เรื่องสไตล์การเล่นที่ไม่ปลื้ม บุกมาทำป้ายขับไล่ถึงสนามซ้อม แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือเขาสนใจแค่การจัดการในสนามเท่านั้น เรื่องอื่นไม่แคร์ แม้จะประสบความสำเร็จในการคว้า 3 แชมป์บอลถ้วย คัพวินเนอร์ คัพ, โคปา เดอ เรย์ และสแปนิช คัพ แต่การพลาดแชมป์ลาลีกา ให้แก่เรอัล มาดริด2 แต้มก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่เขาจะไม่ได้ไปต่อ แถมโรนัลโด้ ลูกทีมที่เขารักประดุจลูกชายก็ถูกขายออกไปจากทีมด้วยค่าตัวมหาศาล มันเหมือนการริดอำนาจกลายๆสุดท้าย บ็อบบี้ก็กลายเป็นอดีตโค้ช และต้องหลีกทางให้หลุยส์ ฟาน กันไปต่อโดยดี ความสุขที่บาร์เซโลน่าอาจจะแสนสันแค่ขวบปีเดียว แต่สิ่งที่เขาได้มาคือมิตรภาพดีงาน เป็ป กวาร์ดิโอล่า มีแง่งามเชิงบวกกับบุรุษชาวบริตติชมากมาย การเปิดใจหลากหลายเรื่องราวในตัวหนังก็บ่งบอกได้แล้วว่า แรงบันดาลใจการทำงานโค้ชสิ่งหนึ่งก็ได้มาจากบ็อบบี้ ช่วงท้ายๆการทำบาร์ซ่าของบ็อบบี้ เขาได้รับข้อเสนอจากนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แต่ต้องใช้เวลา 2 ปี กว่าจะได้ตัวมาคุมทีม เขาคือคนท้องถิ่นเป็นชาวจอร์ดี้ เขาได้รับการต้อนรับที่ดีงาม สาลิกาดงได้ไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และยูฟ่า คัพ แต่ด้วยปัญหาในห้องแต่งตัวทำให้เขาต้องปิ่วออกจากทีมและปิดฉากชีวิตการทำทีมไปโดยปริยาย บั้นปลายชีวิตบ็อบบี้ ใช้ชีวิตกับภรรยาก่อตั้งมูลนิธช่วยเหลือคนป่วยเป็นโรคมะเร็งโรคที่เขาป่วยเรื้อรังมายาวและจากไปอย่างสงบในปี 2009 สิ่งเดียวที่ไม่ชอบในการดูสารคดีเรื่องนี้ก็คงเป็นซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษและภาษาไทย ที่แปลไม่ตรงหรือสอดคล้องกับบทพูดในตัวหนัง สรุป : ความทรงจำฟุตบอลยุคที่ผมเติบโตกลับมาอีกครั้ง นำสิ่งที่ดีงามของท่านเซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน มาตีแพร่ได้อรรถรส คอบอลยุค 90 ไม่ควรพลาด หนังมีฉายใน Netflix เวลานี้ แจกคะแนนรีวิว 9/10
logoline