logo-heading

จำได้ว่าเมื่อ 4 ปีก่อนหนังเรื่องนี้เข้า ผมสองจิตสองใจ ว่า จะดูหรือไม่ดู สุดท้ายไม่เอาดีกว่า เพราะในความรู้สึกนึกคิดในเวลานั้น ผมประทับใจ Whiplash งานเก่าของ Damien Chazelle ที่เป็นงานนอกกระแสต้นทุนต่ำ ที่ทำได้อย่างอร่อยเหาะ กวาดรางวัลมากมาย และมี Message ที่คมคาย จนอยากจะเทใจมาดู La La Land ที่ดูยังไงก็เป็นหนังที่ดูง่ายตลาดกว่าแน่ๆ  .

ผมปล่อยเวลาผ่านไปจนในที่สุดช่วงโควิด 19 มีเวลามาดูหนัง Mainstream มากขึ้นเลยตัดสินใจมานั่งดูปรากฏว่า มันดูเหลือเชื่อ กลายเป็นจดหมายรักฮอลลีวูด ที่ดูมีเสน่ห์ เต็มอิ่มไปด้วย วัฒนธรรม ทั้งเพลงแจ๊ซ ละครเวที มิวสิคัล ในทีแรกผมเข้าใจว่ามันเป็นหนังยุคเก่าด้วยซ้ำ ก่อนจะมารู้ในภายหลังว่านี่คือ หนังที่ใช้ยุคสมัยใหม่เข้ามาดำเนินเรื่อง นำประเด็นการตามหาความฝันของชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งในมหานครแอลเอ ดินแดนแห่งดวงดาวและดารา บริบทของหนังให้อารมณ์ สนุก ตลก โรแมนติก ขมขื่นในเวลาเดียวกัน และผู้กำกับอย่าง Damien ก็ปรุงแต่งออกมาได้อย่างลงตัว . ข้อดี ความฝันของวัยรุ่นหนุ่มสาว คนหนึ่งอยากเป็นนักเปียโนที่อยากจะเปิดไนท์คลับเล่นเพลงแจ๊สที่มีชื่อเสียง อีกคนคือบาริสต้าในร้านกาแฟที่อยากเป็นนักแสดง ทั้งคู่มาเจอกัน สถานะแทบไม่ต่างกัน กำลังวิ่งตามฝัน และ 'ความรัก' ก็เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขากล้าที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง ชีวิตมันต้องแลก ผู้หญิงทุ่มเทยอมลาออกเพื่อมาเขียนบทละคร พร้อมกับแสดงนำด้วยตัวเอง พัฒนาฝีมือหวังออดิชั่นเข้าตาโปรดิวเซอร์หนัง แต่อีกคนกำลังชีวิตไม่มั่นคง เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับวงดนตรีที่กำลังป๊อบมากในปัจจุบัน โดยเขาต้องทิ้งความเป็นตัวเองไป กราฟชีวิตเหมือนจะสวนทางคนหนึ่งตามฝัน อีกคนหนึ่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสังคม . ลำพังบทหนังที่เขียนมาดีไดอาล็อคทุกอย่างเล่าเหมือนชีวิตมนุษย์ทั่วไป แต่ที่มันเด็ดดวงแปลกตา คือการถ่ายทอด ผ่านท่วงทำนอง พร้อมกับการเล่าเรื่องแบบ มิวสิคัล ที่ทำได้งดงามมีเอกลักษณ์ เข้าใจง่าย หนังมีรายละเอียดที่ดี แสดงให้เรารู้สึกว่า ทุกการเดินทางเพื่อตามหาจุดหมาย ไม่มีอะไรที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความรัก หรือความฝัน หนังหยิบ 3 อย่างมาคลุกเคล้าให้ลงตัวพอเหมาะพอเจาะ . อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคือการทำให้หนังอารมณ์เหมือนยุคเก่า ทั้งที่พล็อตเรื่องคือยุคปัจจุบัน มันเป็นการผสมความคลาสสิคของเรื่องราวความร่วมสมัยของวัฒนธรรมหลายๆด้าน คาแรคเตอร์นักแสดง คอสตูมเสื้อผ้า บทสนทนา โลเคชั่น โรงหนังที่ฉายหนังสุดคลาสสิคปิดตัวลง เพลงแจ๊ซก็เป็นแค่ความนิยมเฉพาะกลุ่ม เสียงเปียโนเป็นได้แค่เสียงดนตรีคลอบรรยากาศในร้านอาหาร ละครเวทีก็ไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าแต่ก่อน ดูยังไงก็งดงาม ไม่ผิดแปลกอะไรถ้าหากมันจะกลายเป็นหนัง Classic ในไม่ช้า . นักแสดง Emma Stone นี่คงเป็นผลงานการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ เหมือนกับว่าผลงานก่อนหน้านี้เป็นการออดิชั่น จนในที่สุดเธอก็ได้มาเจอกับบทที่คู่ควรกับเธอสักที การแสดงมีจริตพอดีตามแบบฉบับของมิวสิคัล ขับร้องแต่บทเพลงได้ไพเราะ สื่อความหมายผ่านการแสดงออกทางสายตาได้อย่างไร้ที่ติ และเธอก็เอาอยู่มากๆ กับการถ่ายทอด ‘ดราม่า’ ยิ่งครึ่งหลังที่กราฟดราม่าพุ่งไม่หยุด เรารู้สึกเจ็บแปลบไปพร้อมกับเธอ ก่อนจะรวดร้าวไปกับช่วงท้าย . Ryan Gosling ขายเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา กับภาพของผู้ชายหล่อ แต่มีความขี้เล่นแบบพอดี ช่วยให้คาแรคเตอร์ของนักเปียโนมีเสน่ห์น่าจดจำ ทุกครั้งที่เขาโซโล่เปียโนมันเซ็กซี่เย้ายวน และพอร้องเพลงก็ยิ่งระทวยไปกับเสียงทุ้มต่ำของเขา มันไม่ใช่เสียงที่เพราะ แต่เป็นเสียงที่สื่อความหมาย เพลง ‘City of Stars’ จึงเป็นเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างครบถ้วน . ข้อเสีย . เป็นหนังเพลงที่มีซาวด์แทร็คประกอบที่น้อยเกินไป น่าเสียดายมากทั้งที่บรรยากาศได้อารมณ์มากๆ . สรุป ชอบความงดงามในตัวหนังที่นำความรักความฝันความเป็นจริงมาผสมผสานกับเสียง ดนตรีได้อย่างลงตัว ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาอวยต่อเลยละใครยังไม่ได้ดูบอกเลยล้าหลังเหมือนผมมาก หนังรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ผ่านทาง Itunes และ Monomax
logoline