logo-heading

ถ้าหากไม่นับผลงานหนังสงครามเรื่อง The Thin Red Line เมื่อปี 1998 ยอมรับตามตรงเลยว่าผมแทบไม่ค่อยประทับใจหนังเรื่องไหนของปู่ Terrence Malick คือไม่ได้เข้าใจยาก แต่หนังของแกให้อารมณ์ที่ดูง่วงนอน

คือเป็นโทนหนังดราม่าเน้นให้เข้าถึงอารมณ์ ไม่มีความหวือหวา คือคนดูจะเข้าใจหนังของแกได้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ทัศนคติ หรือประสบการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งมันทำให้หนังของแกได้รับคำวิจารณ์มากมายทั้งแง่บวกและลบอยู่เป็นประจำ ถ้าคาดหวังว่าจะทำเงินมหาศาลตีตลาดในวงกว้างคงมีเปอร์เซนต์ที่น้อยมาก และผลงานล่าสุด A Hidden Life ก็คงไม่ต่างกัน หนังหยิบยกเรื่องราวเหตุการณ์จริงของ ฟรันซ์ เจเกอร์สแตทเทอร์ เป็นลูกชาวนาที่ดำรงชีวิตในการทำไร่ในบ้านเกิดชนบทเล็กๆในออสเตรีย ชีวิตดูไม่น่ามีอะไรเพราะอาศัยกับภรรยา และลูกสาว ทว่าการบุกของกองทัพนาซีนำโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่เกณฑ์ผู้ชายออสเตรีย ไปร่วมรบในสงคราม ทว่าเขาเลือกที่จะแข็งข้อไม่ยอมจำนน ด่านาซีและฮิตเลอร์ และลงเอยด้วยการถูกทรมาน และจบด้วยการประหารชีวิต ตัวละครหลักยอมตายดีกว่าตกเป็นเครื่องมือกับความอยุติธรรมในครั้งนี้ . ข้อดี การที่ Terrence Malick กลับมาทำหนัง Biography ที่มีเรื่องราวจริงๆอยู่ก่อนหน้านี้ ทำให้เราเข้าใจเนื้อหาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาจะปรุงแต่งให้มันออกมางดงามแบบไหนก็เท่าไหร่ ชายคน 1 ที่สูญเสียพ่อเพราะไฟสงคราม ต่อต้านนาซี ไม่ยอมก้มหัวให้เหมือนผู้คนในหมู่บ้าน เขาโดนกลั่นแกล้งทุกอย่างจากผู้คนในหมู่บ้านและลูกเมียก็โดนด้วยเพราะความคิดที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเอง . แน่นอนว่าความปีนเกลียวในครั้งนี้โดนเรียกตัวไปเข้ากรมเขากลับยอมจำนนไม่หนีทหาร ปล่อยให้ทหารโดนทรมาน ไม่ปฏิญาณเพื่อให้มีชีวิตรอด และรอวันโดนประหารชีวิต ไม่ผิดแปลกที่เขาต่อต้านเพราะความเลวทรามของนาซีมันยากที่ ฟรันซ์ เจเกอร์สแตทเทอร์ จะยอมรับได้ ซึ่งแตกต่างจากตัวละครอื่นที่เสแสร้งเพื่อความอยู่รอดกลัวตาย ไม่ต่างอะไรกับสังคมบนโลกใบนี้ . จุดเด่นของงานทุกชิ้นของปู่ Terrence คือเรื่องภาพมุมกว้างที่พยายามตามติดตัวละครในหลายอิริยาบถดึงอารมณ์จากนักแสดงออกมาให้ถึงขีดสุดพ่วงด้วยซาวด์ดนตรีประกอบที่ ทำให้ภาพ A Hidden Life ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ส่งผลให้เนื้อหาไหลยาว พรรณาโวหารตามสไตล์ของผู้กำกับ . นอกจากนี้โลเคชั่นการถ่ายทำก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ค่อนข้างสวยงามคือตามไปในสถานที่จริง ที่เกิดขึ้นสำหรับชีวิต ฟรันซ์ เจเกอร์สแตทเทอร์ มันเลยทำให้หนังกลมกล่อมเข้าไปอีก แม้ว่าพล็อตเรื่องจะเป็นหนังสงคราม แต่มันแทบไม่มีเนื้อหาการไปรบเลย เพราะเต็มไปด้วยธรรมชาติ ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร ชีวิตชาวไร่ และคุกที่ขังนักโทษที่เป็นกบฏต่อต้านนาซีเท่านั้น . อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากคือเรื่องราวของหนังเกี่ยวข้องกับนาซี แต่บทหนังเลือกให้นักแสดงสนทนาด้วยบทพูดภาษาอังกฤษเพื่อให้คนดูดูรู้เรื่อง และปล่อยให้อารมณ์หนังนอกสคริปใช้ภาษาเยอรมัน เพื่อให้ใกล้เคียงกับความจริงหนังเลยไหลลื่นไปได้ยาว แม้ว่าจะดูไม่Make sense ตรงที่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในออสเตรีย ผู้คนจะเสวนาด้วยภาษาดอยซ์ที่เข้าใจยากติดระดับโลก . ข้อเสีย เนื้อหาของหนังเกือบ 3 ชั่วโมงมันดูเยิ่นเย้อเกินไป เหมือนกับว่าพยายามจะดึงอารมณ์การโดนทรมาน กดขี่ข่มเหง ห้ามโหดร้ายของนาซีที่เล่นงานผู้คนที่ต่อต้าน เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจ ทั้งที่ความจริงหนังสามารถปิดประเด็นและสรุปใจความให้เสร็จสิ้นได้เร็วกว่านี้ . สรุป นี่คือหนังดราม่าที่คุณภาพที่อ้างอิงจากเหตุการณ์ที่ดูแล้วเข้าใจง่าย ตีแพร่เรื่องอุดมการณ์ชัดเจน งดงามในทุกๆจุดทั้งบทหนัง, ภาพ, โลเคชั่นการถ่ายทำ แจกคะแนนรีวิว 8/10 หนังจะเข้าฉายในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ณ House samyan ใครชอบหนังนอกกระแสเชียร์เรื่องนี้ครับ
logoline