logo-heading

คุณห้ามสัมผัสป้าย "This is Anfield" เป็นอันขาด จนกว่าพวกคุณจะคว้าแชมป์สักรายการมาครอบครอง เพราะป้ายนี้มันมีความศักดิ์สิทธิ์ .. 

ประโยคสั้นๆที่แฝงไปด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม กระตุ้นให้ขุนพล "หงส์แดง" กลับมาลิ้มรสชาติการเป็นแชมป์อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ตัวพวกเขา แต่มันหมายถึงสโมสร และ แฟนบอล ที่รอคอยความสำเร็จ มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ร้างรามานานถึง 30 ปี

และ คำพูดประโยคนั้น เขากำลังจะ ลิเวอร์พูล กลับมาผงาดบนลีกแดน "ผู้ดี" อีกครั้ง หลังประกาศศักดาเป็นเจ้ายุโรป คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 มาครอบครองได้แล้ว คนๆนั้นก็คือ เจอร์เก้น คล็อปป์  หากย้อนกลับไปสัก 40-50 ปี ที่แล้ว ไม่มีใครล่วงรู้หรอกว่า เด็กจากทุ่ง "แบล็ค ฟอเรสต์" จะกลายมาเป็นตำนานแห่งแอนฟิลด์ และ นี่คือเรื่องราวผจญภัยของ "เดอะ นอร์มอล วัน" ‘Journey to the Kop'  คล็อปป์ เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่า "แบล็ค ฟอเรสต์" ของเมืองกลัทเท่น ย่านที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมัน .. เด็กหลายคนฝันอยากเป็นนักฟุตบอล แต่กับ "เดอะ นอร์มอล วัน" แตกต่างจากเด็กทั่วไป เยนส์ ฮาส เพื่อนร่วมชั้นของ คล็อปป์ เล่าให้ฟังว่าตอนเจอกับ เจอร์เก้น ครั้งแรก เขารู้สึกได้ทันทีว่า ไอ้เพื่อนยากคนนี้ มีความรู้สึกอยากจะเป็น "ผู้จัดการทีม" ตอนที่ทั้งคู่ 11 ขวบ ขณะกำลังเล่นให้กับทีมเยาวชนของ เอสวี กลัทเท่น และ ได้รับการซึมซับให้ฟังทีมรักอย่างสโมสร สตุ๊ตการ์ท ผ่านทาง "วิทยุ" และ นั่นเสมือนเป็นจุดเริ่มต้น ให้ คล็อปป์ เริ่มมีวิสัยทัศน์การเป็นกุนซือ เพราะเขาวิเคราะห์การเล่นของ "ม้าขาว" ได้เป็นฉากๆ อีกทั้งยังมีคำแนะนำให้เปลี่ยนตัวสำรองสัก 2-3 คน เพื่อเปลี่ยนระบบให้ดีขึ้น "ผมรู้สึกทึ่งมากจริงๆกับความรู้และความเข้าใจในเกมการเล่นของเขา บางครั้งผมก็แอบคิดนะว่านี่เขาคงเป็นโค้ชไปแล้ว" ฮาส เล่าให้ฟัง ฟังดูฟังมา เหมือนจะราบรื่นใช่ไหมละครับ .. ตอนเด็กใฝ่ฝันอยากเป็นโค้ช เติบโตมาพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โค่นบัลลังค์ บุนเดสลีกา เยอรมัน และ พา ลิเวอร์พูล เป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 6  แต่ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ทุกอย่างที่ได้มา ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและคราบน้ำตา เรื่องราวบนโลกนี้ไม่เคยง่ายกับเด็ก 4 ตา จากทุ่ง "แบล็ค ฟอเรสต์" เรื่องราวของ คล็อปป์ ช่วงเด็กประถม ถูกเล่าผ่านโดย ฮาส ด้วยการเลือกโลเคชั่นตรงข้ามร้านขายเบเกรี่ ข้างๆจะเป็นน้ำพุไหลลงสู่แม่น้ำแกลตต์ ซึ่งเป็นเหมือนจุดปักหมุดรวมตัว ก่อนเดินทางไปแข่งขันให้กับทีม เอสวี กลัทเท่น บริเวณแห่งนี้ โอบล้อมไปด้วยแม่น้ำแกลตต์ และ หุบเขา สวาเบีย เป็นดินแดนแห่ง "นาฬิกานกกาเหว่า" ผู้คนแต่งกายกันแบบดั้งเดิม เต็มไปด้วยอาหารพื้นเมืองทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเยอรมัน และ  ณ ที่แห่งนี้ พัฒนาให้ คล็อปป์ มีความรู้สึกเป็นอิสระ ห่างไกลความกดดันแบบที่เขาต้องรับภาระเหมือนสมัยอยู่ ดอร์ทมุนด์ กับ ลิเวอร์พูล การใช้ชีวิตของ คล็อปป์ เต็มไปด้วยความรักและเอาใจใส่ เขามีพี่สาว 2 คน ที่ยกให้เหมือนเป็นแม่คนที่ 2 และ 3 แต่ทว่าแรงบันดาลใจในการเล่นกีฬา คล็อปป์ ได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อ นอร์เบิร์ต ไปเต็มๆ เพราะถึงแม้คุณพ่อจะทำงานเป็นพนักงานเซลแมน เดินขายของตามจุดต่างๆ แต่ก็มีดีกรีเล่นผู้รักษาประตู ให้กับทีมสมัครเล่น และ สนับสนุนให้ลูกชายคนนี้เข้าสู่เส้นทางฟุตบอลเต็มเปี่ยม "นอร์เบิร์ต มีอิทธิพลต่อ คล็อปป์ เป็นอย่างสูง พ่อสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ นั่นทำให้ เจอร์เก้น มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ว่าเติบโตมาเขาจะต้องเป็นคนกีฬาให้ได้" อุลริช ราธ โค้ชคนแรกของ คล็อปป์ จับให้เล่นตำแหน่งกองกลางและเป็นกัปตันทีมของ เอสวี กลัทเท่น ก่อนที่ช่วงวัยรุ่นจะย้ายไปเล่นให้กับ เออร์เกนซินเก้น ซึ่งเป็นทีมที่ใหญ่กว่า  ราธ ได้ให้นิยามกับ คล็อปป์ ว่า เป็น "ผู้แพ้ที่แย่" แต่กลับเป็น "ผู้นำโดยธรรมชาติ" "คล็อปป์ มักจะอยู่แถวหน้าเสมอ และ จะพูดบางสิ่งขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง" อุลริช ราธ วัย 79 ปี ย้อนความสมัย คล็อปป์ เป็นวัยรุ่นให้ฟัง "พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม คล็อปป์ มีความทะเยอทะยาน เขาจะบอกเพื่อนๆเสมอว่า ลุยเว้ย ออกไปเอาชนะพวกแม่งกัน" จากนั้นตัดภาพมาที่ เยนส์ ฮาส เขาพาไปที่สนามแห่งหนึ่ง ซึ่ง คล็อปป์ และ เพื่อนๆ บริเวณรอบๆจะมีต้นสนสูงราวเสียดฟ้าอยู่มากมาย ซึ่งรำลึกให้ฟังว่าเวลาแข่งขันหรือฝึกซ้อม ลูกฟุตบอลจะหายอยู่บ่อยๆ แต่มันถูกปรับเปลี่ยนให้กลายสถานที่เฉลิมฉลองให้กับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ สมัยพา "เสือเหลือง" คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา เยอรมัน เมื่อปี 2011 ย้อนกลับไปช่วงที่ คล็อปป์ ออกจาก เอสวี กลัทเท่น เขาพเนจรไปเล่นกับทีมสมัครเล่นอีกหลายสโมสร ควบคู่ด้วยการเรียนปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา จนกระทั่งเมื่ออายุครบ 23 ปี เขาเปลี่ยนถิ่นฐาน ห่างจากบ้านเกิด 30 ไมล์ ย้ายไปทางตะวันตก เพื่อไปค้าแข้งให้กับ ไมนซ์ 05 ทีมสำรอง มิชาเอล ชูมัคเกอร์ กัปตันทีมสำรองของ ไมนซ์ ผู้คอยจับจ้องและคอยพร่ำสอน คล็อปป์ ตั้งแต่ย้ายเข้ามา และ ประโยคที่จำขึ้นใจได้ดี เพราะ คล็อปป์ มักจะพูดย้ำๆอยู่เสมอว่า "ขา 2 ข้างของผมอยู่แค่ระดับดิวิชั่นสอง แต่สมองของผมอยู่ระดับดิวิชั่นหนึ่ง" นั่นทำให้นึกถึงเรื่องราวที่ว่าหรือเขาจะเกิดมา เพื่อเป็นโค้ช ตลอด 11 ซีซั่น คล็อปป์ เล่นให้กับ ไมนซ์ เพียงแค่สโมสรเดียว ได้ลงเล่นก็ราวๆ 30 นัด ต่อซีซั่นอยู่ตลอด เห็นแบบนั้นเหมือนว่าแรกๆ คล็อปป์ จะเป็นคนสำคัญ แต่ใครจะทราบล่ะว่า คล็อปป์ ก็เคยโดนแฟนบอลโห่มาแล้ว "โมเมนท์หนึ่ง คล็อปป์ เคยเจอเรื่องยากลำบาก ตอนที่โฆษกประกาศชื่อของเขา แฟนบอลจะเป่าปากและส่งเสียงโห่ดังลั่น ผมจำได้ว่ามีอยู่แมตช์หนึ่งหลังจบเกม เรานั่งกันอยู่ตรงสระน้ำ คล็อปป์ พูดกับผมว่า 'ฉันจะทำยังไงดี ผมอยากให้โค้ชช่วยพัฒนาฉันหน่อย' ชูมัคเกอร์ เล่าให้ฟังถึงช่วงเวลายากลำบาก อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการเปลี่ยนโค้ช และ คล็อปป์ ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้กับ ไมนซ์ ตลอด 11 ซีซั่น เขาได้เล่นในระดับ 30 เกม รวมทั้งสิ้น 325 นัด ถึงแม้เขาจะไม่ได้โด่งดังไปทั่วยุทธจักร แต่อย่างน้อยก็พิชิตใจแฟนบอล ไมนซ์ สำเร็จ ให้มารักเขาบ้าง ต่อให้ไม่ได้แชมป์ ไม่เคยเล่นลีกสูงสุด แต่มันสมองของเขาทำให้ความฝันเป็นจริง หลังจากแขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2001 คล็อปป์ ถูกแต่งตั้งให้เข้ามารับงานเป็นกุนซือทันที กับภารกิจต้องพาสโมสรหนีตกชั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นต้องร่วงไปอยู่ ดิวิชั่น 3 ชองลีกลูกหนังเมืองเบียร์ "ไมนซ์ มีการปลดกุนซือถึง 3 คน และ คล็อปป์ คือคนที่ถูกเลือก เขาเต็มไปด้วยความหลงไหล เป็นคนธรรมดาแต่มีบุคลิกพิเศษเหลือเกิน ทุกเกมที่เขาคุมทีมข้างสนาม เขาแสดงความเป็นผู้นำ และ ท่าทางของเขามันน่าประทับใจอย่างมาก" ฮารัลด์ สตรุ๊ตซ์ อดีตประธานสโมสร เล่าถึงบุคลิก คล็อปป์ เกมแรกที่ คล็อปป์ คุมทีม ก็เปลี่ยนโลกทันที เขาพา ไมนซ์ เอาชนะ ดุ๊ยส์บวร์ก 1-0 และ เก็บ 3 แต้มได้ถึง 6 จาก 7 เกม จากจะตกชั้น กลายมาเป็นอยู่รอดปลอดภัยทันที .. 2 ฤดูกาลต่อมา จากทีมหนีตกชั้น ไมนซ์ รุ่งโรจน์จนเกือบจะเลื่อนชั้นขึ้นสู่ บุนเดสลีกา เยอรมัน อยู่แล้ว แต่กลายเป็นจบที่ 4 ของลีก แต้มเท่ากับอันดับ 3 แต่เป็นรองเรื่องลูก-ได้เสีย ความผิดหวังถาโถม ความทุกข์เหมือนกัดกินใจของเขา แต่นั่นไม่ใช่วันจุดจบของโลก ฤดูกาล 2004-05 คล็อปป์ สร้างประวัติศาสตร์ นำพา ไมนซ์ เลื่อนชั้นขึ้นสู่ บุนเดสลีกา เยอรมัน ได้สำเร็จ แฟนบอลราว 15,000 รวมตัวกันหน้าจตุรัสหลักของเมือง เพื่อเฉลิมฉลอง ผู้คนต่างดีใจ และ ร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ แต่ คล็อปป์ ขึ้นไปพูดบนเวทีด้วยคำเท่ๆ "ขณะที่ทุกคนกำลังมีน้ำในตา คล็อปป์ ขึ้นไปบนเวที และ ป่าวประกาศว่า พวกเราจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ และ พยายามให้หนักขึ้น มันน่าประทับใจมากที่ทุกคนเห็นพลังอันเแข็งแกร่งในตัว เจอร์เก้น คล็อปป์ เขามักจะมีคำพูดที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ" ฮารัลด์ สตรุ๊ตซ์ เล่าเอาไว้ 3 ฤดูกาล ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ สร้างความโดดเด่นให้กับ ไมนซ์ อันเป็นสไตล์ที่น่าประทับใจ และ ถูกจับตามองว่าจะเป็นโค้ชที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในแวดวงลูกหนังเยอรมัน  ฮันส์-โยอาคิม วัตซ์เค่ ประธานบริหาร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ชื่นชม คล็อปป์ ไว้ว่า "เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับ ไมนซ์ ในแง่มุมหนึ่งผู้เล่นของเขาไม่ค่อยดีนัก แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ยากที่เอาชนะพวกเขาเหมือนกัน เพราะ ไมนซ์ มีจิตวิญญาณความเป็นนักสู้เต็มเปี่ยม" เมื่อ สไตล์ของ คล็อปป์ มันก้าวกระโดด ไมนซ์ จึงเล็กไปเสียแล้วสำหรับเขา สถานีต่อไป โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คือสโมสรที่ฝากความหวังไว้ว่า "เดอะ นอร์มอล วัน" จะช่วยทีมกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้ง คล็อปป์ มาอยู่กับ "เสือเหลือง" ในปี 2008 และ สร้างความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับสาวก "เยลโลว์ วอลล์" ที่มักเข้ามาเต็มความจุของสนาม ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ราวๆ 8 หมื่นคน เขาค่อยๆสร้างทีมขึ้นมา เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาเรื่อยๆ นักเตะโนเนม กลายเป็นโด่งดังไปทั่วยุโรป อาทิ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, ชินจิ คากาวะ หรือ นูริ ซาฮิน เป็นต้น ล้วนแต่ผ่านมือของกุนซือรายนี้มาหมดแล้ว การเป็นแชมป์ บุนเดสลีกา เยอรมัน 2 สมัยซ้อน ในปี 2010–11, 2011–12 เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ มีตราแบรนด์สินค้าแบบฉบับลูกหนังว่า "เฮฟวี่ เมทัล" นั่นคือการเล่นแบบบ้าคลั่ง วิ่งมีหยุด ดาหน้าบุกแหลก พร้อมสถานปนาเป็นทีมที่เล่นได้น่าตื่นเต้นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก "คล็อปป์ ให้วิญญาณใหม่กับทีม" วัตซ์เค่ กล่าว "เขาเล่นฟุตบอลในอีกรูปแบบหนึ่ง แบบที่เราไม่เคยเล่นมาก่อน มีความก้าวร้าวดุดัน ไล่เพรสซิ่งด้วยพละกำลัง และ เขาคอยกระตุ้นลูกทีมตลอดเวลาที่ข้างสนาม ผู้เล่นและแฟนบอล ต่างหลงรัก คล็อปป์ ตั้งแต่วินาทีแรก" จากเด็กแห่งทุ่ง แบล็ค ฟอเรสต์ กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปแล้ว เขาเป็นตำนาน ดอร์ทมุนด์ กับการพาสโมสรเป็นแชมป์ บุนเดสลีกา เยอรมัน ได้อีกครั้ง เป็นหนึ่งในชายที่โด่งดังที่สุดในประเทศเยอรมัน บางทีชีวิตคนเราก็เหมือน กราฟๆหนึ่ง เคยขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ก็ตกลงมาสู่จุดต่ำสุดได้เหมือนกัน หลังจากแพ้นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ฤดูกาล 2012-13 อีกประมาณ 2-3 ฤดูกาลต่อมา คล็อปป์ ก็ต้องแยกทางกับ ดอร์ทมุนด์ ด้วยฟอร์มการเล่นในลีก ที่เคยร่วงไปในโซนตกชั้น แต่ก็ก้าวขึ้นมาพ้นวิกฤตได้ กระทั่งได้มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปัจจุบัน กว่าที่ คล็อปป์ จะก้าวมาพาทัพ "หงส์แดง" เป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 เขาลองผิดลองถูกมานักต่อนัก สร้างนักเตะไปทีละซีซั่น ผิดหวังแล้วผิดหวังเล่า ทั้งการเป็นรองแชมป์ ยูโรปา ลีก, ผิดหวังจาก ลีก คัพ และ เป็นได้แค่พระรองบนเวที "ยูซีแอล" ความผิดหวังถาโถมในใจเขา กับ อาถรรพ์ที่ว่า "มักจะแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ" แต่เรื่องนั้นถูกพิสูจน์แล้วว่า ถ้าคุณตั้งใจทุกอย่างก็เป็นไปได้ คล็อปป์ กำลังนำพา ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อีกเพียงแค่ 2 ก้าว เท่านั้น ..

บางทีการเป็นอัจฉริยะด้านวางแผนฟุตบอลตั้งแต่เด็กๆ ส่งผลให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ และ ใครจะคิดละครับว่า เด็กจากหมู่บ้าน "แบล็ค ฟอเรสต์" จะกลายมาเป็นฮีโร่ ไม่ใช่แค่ หงส์แดง แต่เป็น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ไมนซ์ 05 อีกด้วย

logoline