logo-heading

เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กองหน้าคนสำคัญของ อินเตอร์ มิลาน นำพาตัวเองจากดาวยิงในลีกอาร์เจนติน่า กลายมาเป็นหัวหอกเบอร์ต้นๆ ของโลก ภายในเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าอาชีพค้าแข้งของเขาเติบโตขึ้นเร็วมากๆ ฉะนั้นวันนี้ขอบสนามเรื่องเฟี้ยวเลี้ยวมาเล่า ขอพาท่านมาไปดูเส้นทางอาชีพของ มาร์ติเนซ กันหน่อยดีกว่าว่าผ่านอะไรมาบ้าง ตลอด 5 ปีในอาชีพค้าแข้ง

เลาตาโร่ มาร์ติเนซ เกิดเมื่อปี 1997 ที่เมืองบาเฮีย ประเทศอาร์เจนติน่า ชื่นชอบฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆ และได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพครั้งแรกตั้งแต่อายุ 15 ปีกับสโมสร ไลเนียร์ ทีมระดับท้องถิ่น จากนั้นก็ได้ย้ายจาก ไลเนียร์ มาอยู่กับทีมใหญ่อย่าง ราซิ่ง คลับ ในปี 2014 แถมว่ากันว่าเจ้าตัวไม่ต้องทดสอบฝีเท้าเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากผลงานโดดเด่นกว่าใครเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มาร์ติเนซ กดไป 53 ประตู จากการลงเล่น 64 เกมให้ทีมสำรองของ ราซิ่ง จนถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2015 โดยได้ประเดิมสนามเกมแรกด้วยการลงเล่นเป็นตัวสำรองแทนแข้งระดับตำนานอย่าง ดิเอโก้ มิลิโต้ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2015  อย่างไรก็ตามหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบขนาดนั้น ปี 2015-2016 แม้ว่า มาร์ติเนซ จะมีชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ตัวสำรอง และไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากนักด้วย ผ่านไป 2 ปี ลงเล่น 5 นัด ยิงไม่ได้สักประตู ทว่าจากการบาดเจ็บหนักของ ลิซานโดร โลเปซ กองหน้าคนสำคัญ ในปี 2017 ทำให้ ราซิ่ง ไม่มีทางเลือกต้องให้โอกาสดาวรุ่งวัยแค่ 19 ปี ลงเล่นเป็นตัวหลักแทน ซึ่ง มาร์ติเนซ ก็ทำได้ดีพอสมควร ฤดูกาลนั้นลงเล่นไป 28 นัด จัด 9 ประตู แต่มันก็ยังไม่ได้ดีจนถึงขั้นที่จะมีทีมใหญ่มารุมทึ้ง จนกระทั่งฤดูกาล 2017/18 นี่แหละที่ถือเป็นปีแจ้งเกิดของ มาร์ติเนซ อย่างแท้ทรู เพราะได้ลงเล่นและผลิตสกอร์ได้อย่างต่อเนื่อง จบซีซั่นเจ้าตัวลงสนามไปทั้งสิ้น 27 นัด ซัด 18 ประตู จนตกเป็นเป้าหมายของหลายทีมใหญ่ในยุโรป เท่านั้นไม่พอฟอร์มการเล่นก็ยังไปเข้าตา ฮอร์เก้ ซามเปาลี เฮดโค้ชทีมชาติอาร์เจนติน่า ในตอนนั้นจนถูกเรียกไปเปิดซิงติดธงชุดใหญ่ด้วย เอเซเกล แชร์ มือขวาของ ซามเปาลี ในเวลานั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงการเรียก เลาตาโร่ มาติดธง "ฟ้า-ขาว" เป็นครั้งแรกว่า "เซร์คิโอ อเกวโร่ ติดทีมชาติครั้งแรกตอนปี 2003 ส่วน กอนซาโล่ อิกวาอิน ติดตอนปี 2005 จากนั้นเป็นต้นมา อาร์เจนติน่า ก็หากองหน้าดาวรุ่งที่ดีพอจะขึ้นมาเป็นตัวจริงไม่ได้เลย จนกระทั่งมาเจอ เลาตาโร่ ในปี 2017 และเรียกติดชุดใหญ่ในปี 2018 เขาเป็นนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ อเกวโร่ กับ อิกวาอิน ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ จากนั้นมาก็ไม่มีใครเจ๋งเท่าเขาอีกแล้ว เขามีศักยภาพมากพอที่จะก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะระดับแถวหน้าของโลก" นอกจากนี้พอเริ่มตกเป็นเป้าสายตาของทีมยักษ์ใหญ่ อีกหนึ่งเรื่องนอกจากฝีตีนที่ มาร์ิติเนซ ได้รับคำชื่นชมคือความมุ่งมั่น ไม่เหลิง และอยากพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ดูได้จากบทสัมภาษณ์นี้ของเขาที่กล่าวไว้หลังซัดแฮตทริกใส่ ครูไซโร่ ทีมยักษ์ใหญ่จากบราซิล ช่วยให้ ราซิ่ง ชนะไป 4-2 ประตูในศึก โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส โดยกล่าวว่า "ความจริงคือโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ชอบเกมนั้นเลย เพราะนอกจาก 3 ประตูที่ผมทำได้ ผมก็แทบไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลย ผมทำบอลเสียง่ายๆ ผมควรทำได้ดีกว่านี้ ดังนั้นผมเลยคิดว่าผมต้องพัฒนาฝีเท้าให้ดีขึ้นอีก ผมคงต้องกลับบ้านไปพร้อมกับความหงุดหงิดเพราะไม่พอใจฟอร์มการเล่นของตัวเอง แต่ก็ยังดีใจที่ทีมคว้าชัยชนะมาได้" แม้จะเพิ่งกดแฮตทริกช่วยให้ทีมคว้าชัย แต่ก็ยังมองหาจุดบกพร่องของตัวเอง เพื่อเอาไปปรับปรุง และพัฒนาฝีเท้า จนในที่สุดความเก่งกาจสามารถของเขาก็ทำให้ อินเตอร์ มิลาน ยอมควักกระเป๋า 25 ล้านยูโร สู่ขอ มาร์ติเนซ มาล่าตาข่าย ปาดหน้า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, อาร์เซน่อล และ เรอัล มาดริด ที่ตอนนั้นก็หมายหัวเขาไว้อยู่เช่นกัน โดยมีเรื่องเล่าว่าตอนเดินทางมาถึงสนามบิน มัลเพนซ่า ที่เมืองมิลาน ตัวแทนของทัพ "ไอ้งูใหญ่" ได้มารอรับแล้วถามว่า "นายอยากใส่เสื้อเบอร์อะไร?" มาร์ติเนซ ตอบกลับสั้นๆ ว่า "เอาเบอร์ 10 มาเลย" คำตอบนี้ทำให้ตัวแทนของ อินเตอร์ ชะงักไปพักนึงก่อนพยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจเพราะกลัวความกดดันจะถาโถมใส่เด็กต่างถิ่นวัย 20 ปี ทว่า มาร์ติเนซ ก็ไม่สนใจและตอบกลับไปว่า "ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าเบอร์ 10 มันว่างอยู่ ผมก็ต้องการจะใส่มัน".. . และนี่เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเจ้าตัว ซึ่งแม้ซีซั่นแรกของ มาร์ติเนซ กับ "ไอ้งูใหญ่" จะเริ่มต้นได้ไม่ค่อยสวยนัก หลังทำไปได้แค่ 9 ประตู จาก 35 นัด แต่ฤดูกาลนี้ไอ้หนูนี่ก็ปล่อยของมาเต็มที่ กดไปแล้ว 16 ประตู จาก 31 เกม และประสานงานเกมรุกกับ โรเมลู ลูกากู ได้เป็นอย่างดี จนช่วยให้ อินเตอร์ มิลาน ยังมีลุ้นแชมป์สคูเด็ตโต้ในฤดูกาลนี้อยู่ พร้อมพาตัวเองทะยานขึ้นไปเป็นหัวหอกแถวหน้าของโลกลูกหนัง ปัจจุบัน มาร์ติเนซ ในวัย 22 ปี ตกเป็นเป้าหมายหลักของ บาร์เซโลน่า ที่ต้องการดึงตัวมาล่าตาข่ายแทน หลุยส์ ซัวเรซ ที่โรยราลง ซึ่ง ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทัพ "เจ้าบุญทุ่ม" และรุ่นพี่ในทีมชาติอาร์เจนติน่า ก็คงจะเห็นดีเห็นงามด้วย ถึงขั้นเคยเเอ่ยปากชมรุ่นน้องรายนี้เอาไว้ว่า "เขาเป็นกองหน้าที่ยอดเยี่ยม มีความแข็งแกร่ง เลี้ยงกินตัวได้ดี และจบสกอร์ได้คมกริบ" แต่ปัญหาของ บาร์ซ่า ก็คือค่าฉีกสัญญาที่ว่ากันว่ามันสูงถึง 111 ล้านยูโร ซึ่งหากเป็นสมัยก่อน ตอนที่ยังไม่มีโควิด-19 เข้ามา บาร์ซ่า ก็คงควักกระเป๋าจ่ายได้สบายๆ แต่ตอนนี้พอโควิดมา ปัญหาก็เกิด มีวิกฤติทางการเงินเข้า ทำให้เงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆ อีกต่อไป จะใช้ทีก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ไอครั้นจะขอต่อรองกับ อินเตอร์ ก็คงยาก เพราะสัญญาก็ยังเหลืออยู่อีกหลายปี แต่ถ้าดีลนี้มันเกิดขึ้นจริง 111 ล้านยูโร ก็จะทำให้ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กลายเป็นนักเตะอาร์เจนติน่า ที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ทันที. .. แล้วคุณหละ คิดว่าดีลนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่?

ชิน ชินพัฒน์

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมผ่านทางไลน์
logoline