logo-heading

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผงาดพาตัวเองขึ้นมาเป็นกุนซือเบอร์ต้นๆ ของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ ลิเวอร์พูล ปรับปรุงทีมจนเข้าชิงถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ปีติด ก่อนจะสมหวังในครั้งที่ 2 และกำลังจะพาทัพ "หงส์แดง" ประกาศศักดาคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

แน่นอนว่าการที่ พรีเมียร์ลีก ประกาศกลับมาลงแข่งขันต่ออีกครั้ง หลังเจอพิษโควิด ย่อมนำพาความสุข ความชื่นมื่น กลับคืนมาสู่เหล่า "เดอะ คอป" อย่างแน่นอน เพราะพวกเขากำลังจะได้ฉลองแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งจริงๆ มันควรฉลองไปตั้งแต่ 2 เดือนก่อนแล้วด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ในโลกลูกหนังอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ฉะนั้นมันก็เลยมีบางฝ่ายที่แอบกังวลว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะอิ่มตัวกับความสำเร็จอันงดงามนี้ จนหมดแพสชั่น, หมดไฟในตัว หรืออาจมีสาเหตุปัจจัยอะไรต่างๆ นาๆ ที่จะมาทำให้ "หงส์แดง" ยืนระยะครองความสำเร็จได้ไม่นาน แบบที่เคยเกิดขึ้นกับ กุนซือ "เดอะ นอร์มอล วัน" สมัยคุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นั่นเอง แต่เผื่อใครจำไม่ได้ว่าช่วงเวลา 8 ปีที่ คล็อปป์ กุมบังเหียนทัพ "เสือเหลือง" มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และช่วงท้ายๆ ก่อนแยกย้ายจากกันออกมา มันแย่ขนาดไหน เดี๋ยวเรามาย้อนทวนความจำกันสักหน่อยละกันครับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ย้ายจาก ไมน์ซ 05 เข้ามารับงานคุมทีม ดอรทมุนด์ เมื่อปี 2008 และใช้เวลาแค่ 2 ปี เปลี่ยน ดอร์ทมุนด์ จากทีมกลางตารางในเวลานั้น มาคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา เยอมัน ได้ 2 ฤดูกาลติด (2010/11 และ 2011/12) เท่านั้นไม่พอยังถล่ม บาเยิร์น มิวนิค ไป 5-2 ในนัดชิงชนะเลิศคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ปี 2011 มาครองได้อีก จากนั้นในฤดูกาล 2012/13 ก็พา "เสือเหลือง" ไปได้ไกลถึงนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะพ่าย "เสือใต้" ไป แต่แค่นี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมสัสๆ แล้ว เบน แม็คเฟย์เด้น ประธานแฟนบอลดอร์ทมุนด์ ประจำกรุงลอนดอน ได้ให้สัมภาษณ์บอกว่า "เสือเหลือง" ในช่วงนั้นทุกอย่างมันเพอร์เฟ็กต์ลงตัวดูดีไปหมด เหมือน ลิเวอร์พูล ในตอนนี้เลย โดยกล่าวว่า "คล็อปป์ ปรับปรุงทีมทุกๆ ปี ในฤดูกาล 2012/13 เขาขายนักเตะชุดใหญ่ในช่วงซัมเมอร์ไปถึง 11 คน แต่ก็สามารถพาทีมไปได้ถึงรอบชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ในฤดูกาล 2011/12 ดอร์ทมุนด์ ไม่ใช่แค่คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา แต่ยังเอาชนะ บาเยิร์น ในนัดชิง เดเอฟเบ โพคาล ได้ถึง 5-2 ซึ่งเกมนั้น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ตะบันแฮตทริก"   "สำหรับผม นั่นคือเกมที่ดี่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรเลย ฤดูกาลนั้นเราซื้อแค่ อิลคาย กุนโดกัน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำ กับ อิวาน เปริซิซ อีกคน ด้วยค่าตัวคนละ 4 ล้านปอนด์เท่านั้น" "ฉะนั้นมันไม่ใช่การใช้เงินซื้อความสำเร็จ หรือซื้อแชมป์เลยสักนิด มันมาจากศักยภาพของนักเตะ ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ และความเข้าขารู้ใจกันสุดๆ ซึ่งทั้งหมดก็ต้องยกเครดิตให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลย" อย่างไรก็ตามหลังพลาดหวังในนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก กราฟชีวิตที่กำลังพุ่งสูงของ ดอร์ทมุนด์ ก็ค่อยๆ ต่ำลงไปเรื่อยๆ ผลงานดรอปลงๆ ซะอย่างนั้น โดยเฉพาะในฤดูกาล 2014/15 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ ดอร์ทมุนด์ ผลงานของ "เสือเหลือง" ดรอปลงไปอย่างน่าใจหายจบอันดับที่ 7 ของตาราง มีแต้มตามหลัง บาเยิร์น มิวนิค ถึง 33 คะแนน และมีแต้มเหนือโซนตกชั้นแค่ 11 คะแนนเท่านั้น! เรียกได้ว่าแทบจะสิ้นลายแชมป์เก่าเมื่อ 2 ปีก่อนไปเลย โดยในฤดูกาลนั้น คล็อปป์ ซื้อ เควิน คัมเปิลส์ มาจาก อาร์เบ ไลป์ซิก, ดึง ชินจิ คากาวะ จาก แมนฯ ยู กลับมาสู่ทีมอีกครั้ง และควัก 17 ล้านปอนด์ สอย ชิโร่ อิมโมบิเล่ เข้ามาค้ำหอกแทน โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค แบบฟรีๆ ซึ่งการซื้อตัวในฤดูกาลนั้นของ คล็อปป์ น่าผิดหวังแบบสุดๆ เลวานดอฟสกี้ ซัด 25 ลูกจากการลงเล่น 49 นัด ให้ บาเยิร์น ในซีซั่นนั้น ส่วน อิมโมบิเล่ ยิงแค่ 3 จาก 24 เกมเท่านั้น! ขณะที่ แคมเปิลส์ ก็เล่นไม่ดีอยู่ได้ไม่ถึงปีก็โดนขายทิ้ง ส่วน คากาวะ ก็ไม่เก่งเหมือนเดิมแล้ว โดย เบน แม็คเฟย์เด้น คนเดิมได้หล่นความเห็นถึงช่วงเวลาบั้นปลายของ คล็อปป์ กับ ดอร์ทมุนด์ เอาไว้ว่า "ตอนนั้นสภาพการเงินของสโมสรไม่ค่อยจะดีนัก และเสี่ยงต่อการล้มละลายอยู่เหมือนกัน มันเป็นวิกฤติคล้ายๆ กับที่เคยเกิดขึ้นในปปี 2005 มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ตอนนั้นทีมแถวเขตอุตสาหกรรมของเยอรมัน ก็โดนกันหมด ชาลเก้ เองก็เกือบล้มละลายหลายครั้งแล้วเหมือนกัน ฉะนั้นงบประมาณในการซื้อตัวมันมีจำกัด ไม่เหมือนกับทีมใหญ่ในเมืองอย่าง บาเยิร์น" "และด้วยงบประมาณที่จำกัดในช่วง 2 ฤดูกาลสุดท้ายของ คล็อปป์ กับ ดอร์ทมุนด์ นี่แหละน่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาตัดสินใจลาทีมไป การเซ็นสัญญากับ อิมโมบิเล่ คือหายนะของ คล็อปป์ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายชีวิตเขากับ ดอร์ทมุนด์ เลยก็ว่าได้ อิมโมบิเล่ ปรับตัวเข้ากับทีมไม่ได้ แถมยังทำให้บรรยากาศในทีมแย่ลงอีกต่างหาก แต่ปัจจุบันตอนนี้ที่เขาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ยังดีที่ไม่เจอปัญหานี้" แน่นอนว่า สถานะทางการเงินของ ลิเวอร์พูล นั้นดูดีกว่า ดอร์ทมุนด์ ในตอนนั้นมาก และ "หงส์แดง" ก็คงไม่พลาดท่าปล่อยให้นักเตะคนสำคัญหมดสัญญาและย้ายไปอยู่กับทีมตู่แข่งแย่งแชมป์โดยตรงแบบฟรีๆ เหมือนที่ "เสือเหลือง" เสีย เลวานดอฟสกี้ ไปให้ บาเยิร์น ส่วนเรื่องงบประมาณเสริมทัพก็ดูไม่มีปัญหา ที่ผ่านมา คล็อปป์ เองก็ไม่ได้ใช้เงินสิ้นเปลือง ที่เห็นแพงๆ ก็มีอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ แต่ก็โชว์ฟอร์มดีคุ้มค่าทุกปอนด์ แถมเงินส่วนนึงก็มาจากการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่หมดใจออกไปจากทีมอีกด้วย ฉะนั้นขอสรุปทิ้งท้ายแบบนี้ว่า มีโอกาสน้อยมากๆ ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเจอปัญหาแบบช่วงท้ายที่อยู่กับ ดอร์ทมุนด์ ส่วนเรื่องหมดแพสชั่นหากได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ในปีนี้ ก็คงยากหน่อย เพราะเป้าหมายของ คล็อปป์ อาจจะคือการพา "หงส์แดง" เป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนผู้ดีให้ได้มากที่สุดแซงหน้าคู่อริตลอดกาลอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นได้

ชิน ชินพัฒน์

logoline