logo-heading

8 กรกฏาคม 2014 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง จะต้องจารึกเอาไว้ เพราะยอดทีมอย่าง บราซิล แพ้คาบ้านต่อ เยอรมัน ไปขาดลอย 7-1 ประตู ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศศึก ฟุตบอลโลก 2014 จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 6 ปี แต่เกมนี้ก็ยังคงถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยๆ

ฉะนั้นในโอกาสครบรอบ 6 ปีของแมตซ์ประวัติศาสตร์นี้ ขอบสนาม ก็ขอเล่าย้อนความทวนความจำกันหน่อยว่า มันเกิดอะไรขึ้นบ้างในเกมวันนั้น ดีเทลที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไรทำไม "แซมบ้า" ถึงแพ้เละขนาดนี้ และหลังจากแมตซ์อัปยศนี้วงการลูกหนังบราซิลเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ไปติดตามพร้อมกันเลย ฟุตบอลโลก 2014 ถือเป็นทัวร์นาเม้นท์ที่ ทีมชาติบราซิล ตั้งเป้าว่าจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่คว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ เป็นสมัยที่ 6 เพราะได้เล่นในบ้านตัวเอง แถมขุมกำลังก็ดีพอตัว นำทัพโดย ดาวิด ลุยซ์, มาร์เซโล่, แฟร์นันดินโญ่ และแน่นอนดาวยิงตัวความหวังอย่าง เนย์มาร์ จูเนียร์ ซึ่งผลงานในรอบแบ่งกลุ่มก็ถือว่ายอดเยี่ยม ชนะ 2 เสมอ 1 ยิงได้ 7 เสีย 2 เข้าป้ายมาเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม ส่วนในรอบ 16 ทีมกับ 8 ทีมก็ผ่าน ชิลี กับ โคลอมเบีย มาได้ แต่ปัญหาก็คือพวกเขาต้องสังเวย เนย์มาร์ จากอาการเจ็บหลังไปในเกมที่ชนะ โคลอมเบีย 2-1 แถม ติอาโก้ ซิลวา ก็ติดโทษแบนอีก นั่นทำให้ "แซมบ้า" จะขาด 2 กำลังหลักในการดวลกับ เยอรมัน อย่างไรก็ตามแม้จะขาดตัวหลัก 2 ตัว แต่ด้วยความเป็นเจ้าภาพหลายฝ่ายก็ยังมองว่า บราซิล นั้นเหนือกว่า เยอรมัน เล็กๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับกลายเป็นบอลคนละชั้นซะอย่างงั้น การขาด เนย์มาร์ ไปทำให้เกมรุกขาดความเฉียบคม และหมดความน่ากลัว ขณะที่ในเกมรับก็เปื่อยยุ่ยอย่างกับกระดาษทิชชู่เปียกน้ำ โดนบุกมาทีถึงหน้าประตูตลอด สุดท้ายผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมง "อินทรีเหล็ก" กด บราซิล ไปแล้ว 5-0 เสียงเชียร์จากแฟนบอลแซมบ้า ที่เข้ามากันจนล้นสนาม เงียบกริบ กลายเป็นเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นที่เริ่มเข้ามาแทนที่  เท่านั้นไม่พอครึ่งหลัง อังเดร์ ชูร์เล่ ก็มากดอีก 2 เม็ดให้ เยอรมัน หนีห่างเป็น 7-0 ก่อนที่นาทีสุดท้าย ออสการ์ จะมายิงกู้หน้าให้ บราซิล ได้ 1 เม็ด แต่ 7-1 มันก็เป็นสกอร์ที่โคตรทุเรศอยู่ดีสำหรับทีมอย่าง บราซิล และกลายเป็นแมตซ์ประวัติศาสตร์ที่คนจำกันไม่ลืม ผลสกอร์ 7-1 ในนัดนี้ ถือเป็นเกมรอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอลโลก ที่มีผลต่างห่างกันมากที่สุด และเป็นความพ่ายแพ้ที่มีผลต่างของสกอร์มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของทีมชาติบราซิลด้วย เทียบเท่ากับเกมที่เคยแพ้ให้กับ อุรุกวัย 6-0 ในฟุตบอลโคปา อเมริกา เมื่อปี 1920 เท่านั้นไม่พอยังเป็นการแพ้ในบ้านตัวเองครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1975 ที่เคยแพ้ให้กับ เปรู ไป 3-1 ในรอบรองชนะเลิศ โคปาอเมริกา อีกด้วย เรียกได้ว่ามีสถิติแย่ๆ เกิดขึ้นมากมายในเกมนี้ นอกจากผลการแข่งขันจะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลแล้ว ในแง่ของโลกโซเชียล เกมนี้ก็ยังเป็นเกมกีฬาที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดตลอดกาลอีกด้วย โดยในทวิตเตอร์ มีการโพสต์ข้อความถึงนัดนี้มากถึง 36.6 ล้านทวิต เท่านั้นไม่พอ หลังจบศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย "สปอร์ตไบเบิ้ล" สื่อกีฬาชื่อดังได้ทำโพลสำรวจความคิดเห็นของเหล่าแฟนบอลในหัวข้อที่ว่า ‘เหตุการณ์ใดคือช่วงเวลาที่่น่าจดจำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ฟุตบอลโลก' ซึ่งอันดับ 1 แบบนอนมา มีผู้โหวตมากกว่า 42% ก็คือแมตซ์อัปยศแห่งวงการลูกหนังเมืองกาแฟเกมนี้นี่แหละ ช่วงเวลานั้นแฟนบอลบราซิลต่างโศกเศร้าเสียใจอย่างมากกับการแพ้คาบ้านให้ เยอรมัน ไปอย่างยับเยิน 7-1 เพราะอย่างที่บอกเอาไว้ว่าพวกเขาตั้งความหวังเอาไว้สูงมากกับฟุตบอลโลกหนนี้ แถมเรื่องนอกสนามในแง่ของการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศก็กำลังวิกฤติหนักด้วย หากใครจำกันได้ตอนนั้นมีคนบราซิลกลุ่มนึงรวมตัวกันประท้วงเลยด้วยซ้ำว่าไม่อยากให้มาจัดบอลโลกที่นี่ เพราะเสียดายงบประมาณ คนในประเทศจะไม่มีแดกตายห่ากันอยู่แล้ว ยังจะเสือกเอางบไปลงกับ ฟุตบอลโลก อีก ซึ่งพอตกรอบด้วยการแพ้เละเทะแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้พวกเขาเจ็บ, เศร้า และทุกข์ทรมานหัวใจมากขึ้นไปอีก "ผมแค่ต้องการสร้างความสุขให้กับแฟนๆ ให้กับคนบราซิลที่เจ็บปวดมามากพอแล้ว แต่โชคร้ายที่เราไม่สามารถทำมันได้ ผมขอโทษคนบราซิลทุกๆ คนจากใจจริงที่ทำให้ต้องผิดหวังและเจ็บช้ำเพิ่มขึ้นไปอีก" นี่คือคำขอโทษจากปากของ ดาวิด ลุยซ์ แนวรับผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในเกมนี้ ซึ่งหลังจบเกม ลุยซ์ เองก็ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ด้วย ขณที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ เฮดโค้ชทีมชาติบราซิลชุดนั้น ก็ยอมรับว่าเป็นผลการแข่งขันที่ หายนะมากๆ โดยกล่าวว่า "ผมจะถูกจดจำไปตลอดว่าเป็นโค้ชที่ทำ บราซิล แพ้เละ 7-1 คนที่เลือก 11 ตัวจริงลงเล่น วางแท็คติก แก้เกมต่างๆ นาๆ คือผม มันเป็นเพราะผมเอง มันเป็นวันที่บัดซบที่สุดในชีวิต และเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดในอาชีพ ชาวบราซิลทุกคนได้โปรดให้อภัยกับฟอร์มการเล่นของเราในเกมนี้ด้วยเถอะ" อย่างไรก็ตาม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 6 ปี บราซิล ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เอาข้อเสียไปปรับปรุง นักเตะที่โดนวิจารณ์ว่าชั้นไม่ถึงในทัวร์นาเม้นท์นั้นอย่าง เฟร็ด, โช และ แบร์นาร์ด ก็ไม่เคยถูกเรียกติดทีมชาติอีกเลย พวกตัวเก๋าๆ ก็เริ่มรีไทร์เปิดช่องให้สายเลือดใหม่ได้เข้ามาติดธง ซึ่งตอนนี้ก็บอกได้เลยว่า บราซิล กลับมาเป็น "แซมบ้า" ที่น่ากลัวอีกครั้งแล้ว แต่ยังไงซะฝันร้ายพ่าย 7-1 ก็จะยังคงเป็นผีตามหลอกหลอนไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกเขาจะลบปมคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จอีกครั้งนั่นแหละ 

ชิน ชินพัฒน์

 
logoline