logo-heading

และแล้วก็เป็นอีกเกมนึงที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โกงความตายพลิกกลับมาเอาชนะคู่แข่งได้อีกครั้ง และมันก็เป็นเกมเยือนอีกแล้ว! หลังบุกไปโดน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด นำตั้งแต่ไก่โห่ ก่อนจะรัว 3 เม็ดรวด แต่แทนที่จะเข้าวินสบายๆ ท้ายเกมดันมาโดนไล่ 3-2 ทำให้ต้องลุ้นเหนื่อย แต่ก็ยังรอดมาได้ ว่าแล้วเราไปไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆ ในเกมนี้กันหน่อยดีกว่า

  เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย เกมนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กลับมาใช้ระบบ 4-2-3-1 อีกครั้ง โดยตำแหน่งผู้รักษาประตูดรอป ดาบิด เด เคอา และส่ง ดีน เฮนเดอร์สัน ลงเฝ้าเสาเจอทีมเก่า ส่วนแผงหลังพัก ลุค ชอว์ ส่ง อเล็กซ์ เตลลิส ลงประจำการทางฝั่งซ้าย มิดฟิลด์คู่กลางใช้ เนมานย่า มาติช จับคู่กับ ปอล ป็อกบา ตัวรุกวาง บรูโน่ แฟร์นันเดส ทำเกมขนาบข้างด้วย มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ เมสัน กรีนวู้ด ส่วนกองหน้าตัวเป้าใช้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ขณะที่เจ้าถิ่นอย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ของ คริส ไวล์เดอร์ ที่ยังหาชัยชนะไม่ได้เลยแม้แต่เกมเดียวในฤดูกาลนี้ ก็ฝากความหวังไว้ที่คู่กองหน้า เดวิด แม็คโกลดริค กับ โอลิเวอร์ เบิร์ก ซึ่งแน่นอนว่าดูจากผลงานที่ผ่านมา รวมถึงชื่อชั้นตัวผู้เล่นนั้น แมนฯ ยู ดูเหนือกว่าอย่างชัดเจน ทว่าพอเริ่มมาจริงๆ กลับกลายเป็นเจ้าถิ่นอย่างทัพ "ดาบคู่" ที่ดูดีกว่าซะอย่างนั้น เปิดเกมรุกบุกเข้าใส่ "ผีแดง" แบบไม่มีเกรงกลัว ทำเอาผู้เล่น แมนฯ ยู ตกใจตั้งตัวกันไม่ทันเหมือนกัน เพราะคิดไม่ถึงว่า เชฟฟิลด์ จะมาเปิดหน้าแลกแบบนี้ และเจ้าถิ่นก็กดดันจนเป็นผลด้วย ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ไก่โห่นาทีที่ 5 จากจังหวะที่ ดีน เฮนเดอร์สัน เล่นสั้นหน้าประตูส่งไปส่งมาแล้วก็ดันจ่ายพลาดติด โอลิเวอร์ เบิร์ก จิ้มจ่ายต่อให้ เดวิด แม็คโกลดริค แปลโล่งๆ หน้าประตูเข้าไปอย่างง่ายดายส่งผลให้ "ดาบคู่" ออกนำ "ผีแดง" 1-0 และเป็นการเล่นผิดพลาดจนเสียประตูครั้งแรกของ เฮนเดอร์สัน จากการลงเล่นเป็นนัดที่ 2 ทั้งที่ฤดูกาลก่อนลงเฝ้าเสาให้ เชฟฟิลด์ ไป 36 นัด ทำพลาดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากโดนนำ แมนฯ ยู ก็พยายามจะรวบรวมสติให้กลับมาโดยเร็วที่สุด ซึ่งก็ทำได้ดีขึ้น แต่ก็ยังหาจังหวะจบแบบเหน่งๆ ไม่ได้ หนำซ้ำมีดดนสวนจนเกือบเสียลูก 2 ด้วยซ้ำ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงนาทีที่ 26 หรือ 20 กว่านาทีหลังจากโดนขึ้นนำ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ ก็โชว์สกิลวางบอลยาวจากแดนตัวเองข้ามไปให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด จับบอลได้สวยก่อนจะซัดอย่างเฉียบขาดผ่านมือ อารอน แรมส์เดล นายด่าน เชฟฟิลด์ เข้าประตูไปอย่างสวยงาม พอตีเสมอได้ โมเมนตั้มก็เปลี่ยนสิครับ คราวนี้กลายเป็น ผีแดง ที่เชี่ยวชาญในการพลิกแซงกลับมาชนะได้ โดยเฉพาะในการเล่นเป็นทีมเยือน ก็เปิดเกมรุกบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นอย่างหนัก และใช้เวลาแค่ไม่นานก็พลิกขึ้นนำได้สำเร็จ จากจังหวะที่ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หลุดเดี่ยวไปกระดกหนี อารอน แรมส์เดล ก่อนจะจิ้มบอลเข้าประตูไปในนาทีที่ 33 ส่งให้ แมนฯ ยู พลิกนำ 2-1 ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลัง เกมของ แมนฯ ยู ผู้มาเยือนยังคงทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน และก็มาได้ประตูทิ้งห่างเป็น 3-1 อย่างรวดเร็วในนาทีที่ 51 จากการใช้ความสามารถเฉพาะตัวของ ปอล ป็อกบา พลิกหนีตัวประกบในแดนตัวเอง ก่อนจะแทงบอลขึ้นหน้าต่อยอดมาถึง บรูโน่ แฟร์นันเดส จ่ายให้ มาร์กซิยาล จับแรงไปนิดแต่กลายเป็นดี เพราะบอลมันดันทะลักมาเข้าทาง มาร์คัส แรชฟอร์ด วิ่งมาแปลบอลตามน้ำผ่านมือ แรมส์เดล เข้าประตูไป และกลายเป็นประตูที่ 5 ใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ของ แรชฟอร์ด ซึ่งทั้ง 5 ประตูนั้นเป็นการยิงในเกมเยือนทั้งหมดด้วย หลังจากนำห่าง 3-1 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เล่นกันอย่างสบายใจ แต่ก็ไม่ได้ผ่อนเกมซะทีเดียว ยังคงบุกเข้าใส่ และเกือบได้ประตูหนีห่าง 4-1 หลายหน ต่างจากเจ้าถิ่นอย่างสิ้นเชิง ที่ดูเหมือนจะถอดใจยอมแพ้ แทบไม่สู้ แต่อยู่ๆ พอ โซลชา ถอด บรูโน่ เดอะแบก ออกไปพักในนาทีที่ 80 เกมบุกของ แมนฯ ยู ก็ดูตื้อไปดื้อๆ พลางปล่อยให้ เชฟฟิลด์ ทำเกมขึ้นมา และสุดท้ายจากที่จะชนะสบายๆ ก็ต้องมาใจหายใจคว่ำในช่วงทดเจ็บ เพราะดันมาโดนโขกไล่มา 3-2 ในนาทีที่ 87 จากจังหวะเตะมุม แล้วก็ช่วงที่เหลือนี่ ผีแดง รับเต็มตัว ทดเจ็บ 4 นาที แฟนผีมีเยี่ยวเล็ด เกือบโดนตีเสมอได้ด้วยซ้ำ เคราะห์ดีที่ ดีน เฮนเดอร์สัน ยังโขว์ซูเปอร์เซฟเอาไว้ได้ตอนทดเจ็บ สุดท้าย แมนฯ ยู ก็รอดตัวบุกไปพลิกเก็บ 3 คะแนนมาได้สำเร็จ และเป็นการชนะเกมเยือน 6 นัดติดต่อกัน และทั้ง 6 นัดนั้นโดนนำก่อนทั้งหมด!

ชิน ชินพัฒน์

logoline