logo-heading

และแล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็กลายเป็นจ่าฝูงของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย หลังจากสามารถบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้ เบิร์นลี่ย์ ได้ 1-0 ทำให้จบเกมวีคที่ 17 แซง ลิเวอร์พูล ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงแล้ว เกมนี้มีอะไรน่าสนใจบ้างเรามาเหลากัน

  เริ่มต้นที่การจัดทีม เกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือหน้าทารกของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดทีมมาในระบบ 4-2-3-1 โดยเป็นการจัดหนักจัดเต็มในแผงเกมรุก ใช้ เอดินสัน คาวานี่ ที่เพิ่งพ้นโทษแบน 3 นัด มายืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ขนาบข้างด้วย 2 ตัวจี๊ดอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล แล้วก็มี บรูโน่ แฟร์นันเดส เป็นเพลย์เมกเกอร์ กองกลาง 2 ตัวเลือกใช้ ปอล ป็อกบา จับคู่กับ เนมานย่า มาติช และพัก สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่กำลังฟอร์มดีไว้บนม้านั่งสำรอง ส่วนเกมรับข่าวดีคือได้ เอริค ไบยี่ หายเจ็บกลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงคู่กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กัปตันทีม ขณะที่เจ้าถิ่น เบิร์นลี่ย์ ก็มาชุดฟลูทีมที่สุดเท่าที่จะฟูลได้ นายด่าน นิค โป๊ป นี่ก็ตัวแสบของ ผีแดง เจอกับทีไรผีเข้าทุกที กองหลังมี เบน มี กับ เจมส์ ทราคอฟสกี้ กองกลาง ร็อบบี้ เบรดี้ กับ แอชลี่ย์ เวสต์วู้ด ชูโรง และฝากความหวังไว้ที่กองหน้าอย่าง แอชลี่ย์ บาร์นส์ กับ คริส วู้ด ซึ่งจะว่าไปดูจากฟอร์มการเล่นช่วงหลัง ชื่อชั้นนักเตะ การจัดทีมแล้ว "ปีศาจแดง" ของ โซลชา นั้นหน้าเสื่อดูดีกว่าชัดเจน น่าจะเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกบุกขโยกเข้าใส่ เบิร์นลี่ย์ เจ้าถิ่น ทว่าพอเอาเข้าจริงๆ มันไม่เป็นเช่นนั้นเลยแหะ โดยเฉพาะช่วง 15 นาทีแรก ที่เห็นได้ชัดว่า เบิร์นลี่ย์ เป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่า ครองบอลหาจังหวะจบได้มากกว่า เหมือนกับว่า แมนฯ ยู ยังหาจังหวะการเล่นของตัวเองไม่เจอ แต่พอผ่านไป 20 นาที ผีแดง ก็ดีขึ้น มีการต่อบอลทำเกมมาลุ้นประตูบ้าง ซึ่งในนาทีที่ 26 ก็แอบมีดราม่า VAR เล็กๆ เพราะผู้ตัดสินเป่าให้ แมนฯ ยู ได้ฟรีคิกระยะหวังผล จากจังหวะที่ ร็อบบี้ เบรดี้ ไปทำฟาล์วใส่ เอดินสัน คาวานี่ แล้วผู้ตัดสินให้ใบเหลือง ก่อนจะขอเช็ค VAR ว่าจะเป็นใบแดงหรือไม่ แต่พอเช็ค VAR ปรากฏว่ามันมีจังหวะต่อเนื่องก่อนหน้านี้ที่ ลุค ชอว์ ไปพุ่งเสียบสกัดแล้วรอดพ้นจากการฟาล์ว ผู้ตัดสินดู VAR อยู่พักใหญ่ ก่อนจะยึดใบเหลืองของ เบรดี้ และฟรีคิกของ แมนฯ ยู คืน และย้อนกลับไปให้ใบเหลือง ลุค ชอว์ และฟรีคิกกับ เบิร์นลี่ย์ แทนซะงั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเห็นกันบ่อยนักสำหรับการดู VAR ทว่าจังหวะฟรีคิกของ เบิร์นลี่ย์ ก็ไม่ได้ลุ้นอะไรมากนักก็ปล่อยผ่านไป แต่ผ่านไปได้ไม่นาน กองเชียร์ผีแดง ก็ได้เฮ แต่มันดันเก้อ จากจังหวะที่ ลุค ชอว์ ครอสบอลจากทางฝั่งซ้าย ย้ายเข้ามาในเขตโทษ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ทะยานมาโขกผ่านมือ นิค โป๊ป ลอยเข้าประตูไป ทว่าผู้ตัดสินบอกว่า แม็คไกวร์ ไปกดหลังทำฟาล์ว เอริค ปีเตอร์ ไปก่อนแล้ว เลยอดได้ประตูขึ้นนำไป ช่วงท้ายครึ่งแรก ผีแดง เป็นฝ่ายทำเกมได้ดีกว่า และมาได้ลุ้นขึ้นนำอีกครั้งจากจังหวะปั่นโค้งนอกกรอบเขตโทษของ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล แต่ก็ยังติดเซฟของ นิค โป๊ป ทำให้จบครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0 ต้องมาสู้กันต่อในครึ่งหลัง เริ่มเกมครึ่งหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่า โซลชา ไป teamtalk คุยกับนักเตะอะไรยังไง ใช้อะไรปลุกใจไม่ทราบ เพราะครึ่งหลังเริ่มมา ปีศาจแดง เดินหน้าบุกเข้าใส่แบบหิวกระหายตั้งแต่เริ่ม จน เบิร์นลี่ย์ ที่ครึ่งแรกเล่นชิวๆ ตั้งตัวไม่ทัน เหมือนไม่ได้คิดว่า ผีแดง จะมาโหดขนาดนี้ สุดท้ายกลายเป็นว่า เบิร์นลี่ย์ เจ้าถิ่น ต้องถอยร่นเล่นเกมรับเกือบทั้ง 11 คน ปล่อยให้ แมนฯ ยู ครองเกมรุกบุกเข้าใส่อยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา จนกระทั้งนาทีที่ 71 ความพยายามของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ประสบความสำเร็จจนได้ จากจังหวะที่ มาร์คัส  แรชฟอร์ด หลุดมาทางขวาเปิดเข้ากลางนอกกรอบเขตโทษให้ ปอล ป็อกบา ฮาล์ฟวอลเลย์จังหวะเดียว บอลเฉี่ยวแฉลบผู้เล่น เบิร์นลี่ย์ เปลี่ยนทางนิดหน่อย รอดหว่างขา นิค โป๊ป เข้าประตูไป เป็นการปลดล็อคให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ หลังจากระดมเกมบุกมาตลอด 25 นาทีของครึ่งหลัง ซึ่งพอ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำได้สำเร็จ พวกเขาก็เพลาเกมรุกลง เล่นเน้นชัวร์ รับแล้วรอโต้ แต่ เบิร์นลี่ย์ เองก็ไม่ได้มีเกมรุกที่อันตรายน่ากลัวอะไร ยกเว้นช่วงท้ายเกมที่ดูเหมือนผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด จะเกร็งๆ กันไปเองเลยมีพลาดปล่อยให้ เบิร์นลี่ย์ ได้จบสกอร์อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็เอาตัวรอดมาได้สำเร็จ ประตูของ ปอล ป็อกบา กลายเป็นประตูโทนและประตูชัยในเกมนี้ ส่งให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กระโดดแซงหน้า ลิเวอร์พูล คู่อริตลอดกาลขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง ด้วยความห่าง 3 คะแนน ก่อนจะดวลกันในศึก แดงเดือด สัปดาห์นี้ ซึ่งแม่งจะเป็นแดงเดือดที่มันส์แน่นอน ขอบสนามรับประกัน!  

ชิน ชินพัฒน์

logoline