logo-heading

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับศึกแดงเดือดครั้งที่ 2 ในฤดูกาลนี้ ซึ่งมาในเวอร์ชั่นฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ แล้วก็เป็นเจ้าถิ่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยัดเยียดความปราชัยให้คู่อริตลอดกาลไปได้ 3-2 ประตู ซึ่งเกมนี้กับเกมแดงเดือดครั้งแรกของฤดูกาลนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มันมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างในทางฝั่ง แมนฯ ยู เราไปดูกัน

 

โซลชา ไม่กลัว ลิเวอร์พูล

  เกมนี้เห็นได้ชัดเลยว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือหน้าทารกของทัพ "ปีศาจแดง" จัดทีมมาแบบไม่ได้กลัว ลิเวอร์พูล หรือ กุนซือที่มีประสบการณ์มากกว่าอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ เลย เพราะใช่แหละ เกมที่แล้วในเวที พรีเมียร์ลีก ก็ยันเสมอ "หงส์แดง" มาได้แบบไม่ได้ยากเย็นอะไร เกมนี้ได้เล่นในบ้านตัวเองแท้ๆ โอกาสที่จะคุมทีมชนะศึกแดงเดือดเป็นครั้งแรกก็รออยู่ตรงหน้า ก็เอามันซะหน่อยวะ พักแค่ บรูโน่ แฟร์นันเดส กับ ดาบิด เด เคอา ก็พอนอกนั้นถือว่าชุดใหญ่ใส่เต็ม  ซึ่งรูปเกมก็เปิดหน้าแรกไม่ได้เน้นรับแล้วรอโต้เหมือนอย่างเคย ซึ่งส่วนนึงก็ต้องยอมรับด้วยว่าขุมกำลังของทัพ "หงส์แดง" ก็มีตัวเจ็บอยู่ทำให้ โซลชา ยิ่งได้ใจใส่เต็ม ตอนโดนออกนำก่อนอาจมีเหวอๆ บ้าง แต่พอตีเสมอได้ก็ครองเกมรุกบุกเข้าใส่ต่อเนื่อง เรียกได้ว่าไม่มีกลัวและทำได้ดีกว่าชัดเจน ซึ่งสุดท้ายก็คว้าชัยชนะมาครองได้สำเร็จ  

บรูโน่ ไหนใครว่าเจอเกมใหญ่แล้วไปไม่เป็น

  แน่นอน ใครๆ ก็รู้ว่า บรูโน่ แฟร์นันเดส เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติโปรตุเกส คือ "เดอะ แบก" ของทัพ "ปีศาจแดง" ที่ทำให้ แมนฯ ยู มาอยู่จุดๆ นี้ได้ ทว่าสิ่งนึงที่เป็นข้อครหามาตลอดนั่นคือผลงานของพี่แกที่เวลาเจอทีมใหญ่ในระดับ Big Six ด้วยกันมักจะไปไม่เป็น เล่นไม่ออก โชว์ฟอร์มได้ไม่ดีอย่างที่เคยทำมา หรือนัดไหนเล่นดี ก็ไม่มีแอสซิสต์หรือทำประตูได้อีกอยู่ดี  ซึ่งตามสถิติระบุว่า เจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือน4 สมัยของพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2020 ต้องใช้เวลาถึง 328 นาทีกว่าจะยิงทีม “บิ๊ก6” ได้ และก่อนหน้าเกมนี้ 8 นัดที่เจอ "บิ๊ก 6" ทำไปได้ 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ มองจากตัวเลขอาจจะไม่แย่ แต่หากไปเทียบกับการเล่นกับทีมอื่นนอกเหนือจาก "บิ๊ก 6" แล้วต่างกันมาก 24 นัด ยิง 17 แอสซิสต์ 12 คือพูดง่ายๆ ว่า บรูโน่ สร้างมาตรฐานตัวเองเอาไว้สูง แล้วเวลาเจอทีมระดับใหญ่ๆ ก็ทำได้ไม่ดีเท่าทีมอื่นๆ แม้มันจะดีแต่ก็ยังถูกมองว่าดีไม่พอ แต่พอมาเกมนี้ลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 66 พี่แกก็จัดให้เลย 1 ประตู แถมเกือบทำได้อีก 1 แอสซิสต์ด้วยถ้า คาวานี่ ไม่โขกไปชนเสาในช่วงท้ายเกม  

มาร์กซิยาล ควรเป็นสำรองถาวร

  ในฤดูกาลนี้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หัวหอกหน้าตาย โดนวิจารณ์อย่างหนักหน่วง เพราะโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่ แต่ โซลชา ก็ยังขยันส่งลงเล่นเป็นตัวจริงอยู่เสมอๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารักอะไรเจ้าหนูคนนี้นักหนา ฟอร์มไม่ดีไม่ว่า แต่ทัศนคติยังแย่อีก หลายครั้งหลายคราที่มักจะเหวี่ยงใส่เพื่อนร่วมทีมที่ไม่ยอมจ่ายบอลให้ หรือไม่วิ่งไปตามจุดนัดพบ ทั้งที่จริงๆ แล้วก็มีหลายครั้งที่ตัวเองจ่ายบอลเสียเปรียบ และยิงไม่คม ซัดออกไปเองแบบโง่ๆ ก็หลายที ที่สำคัญยังชอบทำหน้าตาหน้าตายหน้าเดียว กวนส้นตีนอีก จริงๆ ไอเรื่องหน้าตานี่มันไม่ผิดหรอก มันแล้วแต่นิสัยคน แต่นี่ฟอร์มเอ็งไม่ดี แทนที่จะพัฒนา โชว์ให้เห็นหน่อยนะว่ากูขยันกูมุ่งมั่น แต่นี่ไม่ เสียบอลก็ยืนเฉยทำหน้าซังกะตายไปวันๆ จนตอนนี้เหมือน โซลชา เริ่มเล็งเห็นบ้างแล้วแหละว่า เอดินวัน คาวานี่ ที่แม้จะแก่กว่าเยอะ แต่ก็มีประโยชน์กว่าแยะ บางทีเราอาจจะได้เห็น มาร์กซิยาล นั่งม้านั่งสำรองไปยาวๆ หากยังไม่รีบปรับเปลี่ยนทัศนคติตัวเอง เพราะเกมนี้และอีกหลายๆ เกม เห็นได้ชัดเลยว่าพอไม่มีน้องหมากอยู่ในสนาม เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ดูไหลลื่นขึ้นเยอะ  

มาร์คัส แรชฟอร์ด ดีขึ้นชัดเจน

  ศึกแดงเดือดครั้งก่อนหน้านี้ที่เสมอกันไป 0-0 หนึ่งในผู้เล่นของทัพ "ผีแดง" ที่โดนด่าเยอะเป็นเบอร์ต้นๆ ก็คงหนีไม่พ้น ท่านเซอร์ ด็อกเตอร์ มาร์คัส แรชฟอร์ด เพราะเกมนั้นไม่รู้พี่แกไม่เคยเห็นลูกบอลหรืออย่างไร เล่นเลี้ยงเดี่ยวโชว์อยู่คนเดียว แถมมีจังหวะนรกช่วงท้ายเกมไม่ยอมจ่ายให้ คาวานี่ ยิงอีกต่างหาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะคำวิจารณ์ต่างๆ จากเกมนั้น มันส่งผลให้ แรชฟอร์ด มุ่งมั่นมากขึ้นในเกมนี้รึป่าว เพราะ ไอ้หนูแรชฟอร์ด เล่นได้สะเด็ดสะเด่าเร้าใจชิพหาย กระชากลากเลื้อยจ่ายบอลให้เพื่อนได้ดี ไม่มีจังหวะนรกโง่ๆ อีกแล้ว หนำซ้ำยังกระหน่ำทำประตูได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเกมนี้เพอร์เฟ็กต์แก้ตัวจากเกมที่แล้วได้สำเร็จ คู่ควรกับรางวัล "แมน ออฟ เดอะ แมตซ์" แบบไร้ข้อโต้แย้ง  

และทั้งหมดนี้คือ 4 ข้อที่ผมเห็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนไปจากศึกแดงเดือดครั้งก่อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แล้วก็ได้ชัยชนะซะด้วย

 

ชิน ชินพัฒน์

logoline