logo-heading

สาวก "เดอะ ค็อป" คงจะนอนด้วยอาการฝันร้าย และ ตื่นมาด้วยจิตใจอันบอบช้ำ เมื่อ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้คาบ้าน 3 นัดติดต่อกัน ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ล่าสุดถูกทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกมาถล่มแบบเละเทะ ด้วยสกอร์ 4-1 แทบจะโบกมือลาเรื่องป้องกันแชมป์ไปได้เลย

เกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจ ยังไม่ส่งกองหลังตัวใหม่ลงสนาม โดยให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ฟาบินโญ่ ถอยลงไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กตามเดิม ไม่เพียงแค่ ลิเวอร์พูล จะขาดเซ็นเตอร์แบ็กอาชีพ แต่วันนี้มีคนโยนเกม ทำผิดพลาดถึง 2 หน ส่งผลให้ หงส์แดง พ่ายแพ้ เรือใบสีฟ้า อย่างสมบูรณ์แบบ มีอะไรเกิดขึ้นในแมตช์นี้บ้างไปนั่งเหลากันให้แซ่บ

- เรือใบมาแท็คติค เพรสซิ่ง หงส์แดง กว่าจะตั้งเกมได้

ลิเวอร์พูล มีสถิติดีมากเหลือเกิน ยามเปิดถิ่นแอนฟิลด์ เฝ้าบ้านเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ ณ ชั่วโมงนี้ ไม่มีใครกลัวขุนพล "หงส์แดง" อีกต่อไปแล้ว หลังจากพวกเขาเพิ่งแพ้คาบ้านมา 2 นัดซ้อน ให้กับ เบิร์นลี่ย์ และ ไบรท์ตัน ฉะนั้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หมายมั่นปั้นมือจะมาเก็บ 3 แต้มให้ได้ ช่วง 20 นาทีแรก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำผลงานได้ดีกว่าเยอะ และ ครองบอลได้มากกว่า โดยพวกเขาไล่บี้เพรสซิ่ง ตั้งแต่แดนหน้า ทำเอานักเตะ ลิเวอร์พูล ไปไม่เป็น ต้องรีบออกบอล และ ทำผิดพลาดกันเอง เพียงแต่ว่าจังหวะสุดท้ายของ เรือใบสีฟ้า ยังไม่มีโอกาสเข้าทำในระยะอันตรายมากพอ กว่าที่ ลิเวอร์พูล จะแก้เพรสซิ่ง แมนฯ ซิตี้ มาได้ ก็ปกเข้าไปครึ่งเกมของครึ่งแรกแล้ว โดยมีช็อตที่บุกเข้ามาใส่ เรือใบสีฟ้า พร้อมมีจังหวะได้เสียว 2-3 ครั้ง ทั้งจากลูกโหม่งของ ซาดิโอ มาเน่ และ ลูกวอลเล่ย์ตามน้ำจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ แต่ เอแดร์ซอน ก็ปัดทิ้งออกหลังไปได้ ทำให้สกอร์ยังเสมอกัน 0-0

- แมนฯ ซิตี้ เจอจุดโทษอาถรรพ์ 

บางที เป๊ป คงจะต้องพาลูกทีมไปหาพระอาจารย์เก่งๆสักคนหนึ่ง เพื่อมาลบล้างคำสาปอาถรรพ์เวลาเจอกับ ลิเวอร์พูล เสียที โดยเฉพาะเรื่องของจุดโทษ เพราะช่วง 10 นาทีสุดท้าย ก่อนหมดครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสขึ้นนำ หลังจากได้จุดโทษ เมื่อ ฟาบินโญ่ ไปเสียเหลี่ยมสกัดโดนขา ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ผู้ตัดสินเป่าให้ทันที คราวนี้เป็น อิลคาย กุนโดกัน รับหน้าที่สังหาร ไม่รู้ด้วยความกดดันหรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้เขาซัดเหินข้ามคานแบบไม่ได้ลุ้น เท่ากับว่านักเตะ เรือใบสีฟ้า พลาดจุดโทษมาถึง 3 คนแล้ว เวลาโคจรมาปะทะกับ หงส์แดง ไม่ว่าจะเป็นเกมเหย้า หรือ เกมเยือน ครั้งแรก ริยาด มาห์เรซ เกือบเคยซัดเป็นประตูชัยให้ แมนฯ ซิตี้ บุกมาดับ แอนฟิลด์ เมื่อสักประมาณ 3 ปีก่อน แต่ก็ยิงข้ามคานไปเช่นกัน ย้อนกลับไปเกมแรกของซีซั่นนี้ แมตช์ที่เสมอกัน 1-1 เควิน เดอ บรอยน์ สังหารถากเสาออกไปเอง ล่าสุดมาถึง กุนโดกัน ก็มาพลาดไปอีกคน

- เกมรับ หงส์แดง นำมาสู่การเสียประตู

ต่อให้ แมนฯ ซิตี้ จะซัดจุดโทษไม่เข้า พลาดโอกาสขึ้นนำคู่แข่ง แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อกำลังใจเลยสักนิดเดียว พวกเขาลงสนามมาด้วยความคึกคัก กลับกันกลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ดูไม่มีความกระเตื้องขึ้นเลย เพราะเริ่มครึ่งหลังมา ยังเป็นลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่พยายามชิ่งตามช่อง เพื่อหาทางเจาะแนวรับ หงส์แดง ให้ได้ ปกติบ้านเราจะได้ยินแต่คำว่า "ซ้ายผ่านตลอด" แต่ที่แอนฟิลด์ วันนี้ "ขวาผ่านตลอด" เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ ฟาบินโญ่ โดนแนวรุก แมนฯ ซิตี้ ฉีกเป็นชิ้นๆ โดย ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ลากจี้เข้าใส่น้องเทรนท์ ก่อนจะจ่ายบอลผ่าน ฟาบินโญ่ ไปให้กับ ฟิล โฟเด้น ได้กดด้วยซ้าย บอลติดเซฟ อลิสซอน  แต่ทว่าบอลกระฉอกอยู่หน้าปากประตู ตรงนั้นมีเพียง กุนโดกัน ที่ยืนอยู่ ยิงซ้ำเข้าไปง่ายๆ เรียกว่าเริ่มครึ่งหลังมาเพียง 4 นาที ก็ซัดให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำ 1-0 และ จากนั้นก็เป็นฝ่ายครองเกมอยู่เพียงฝั่งเดียว

- ลิเวอร์พูล ตีเสมอแบบงงๆ

ในความไม่คาดหวัง มักมีแสงแห่งความหวัง เรืองรองอยู่เสมอ เพราะตอนที่ เรือใบสีฟ้า ขึ้นนำ 1-0 พวกเขาเคาะบอลกันแค่ไม่กี่จังหวะ เล่นด้วยความมั่นใจ ทำเอานักเตะ ลิเวอร์พูล หัวหมุน แทบหาบอลกันไม่เจอ แต่ก็มีช็อตที่ ลิเวอร์พูล เกือบจะตีเสมอเหมือนกัน จากลูกยิงเฉี่ยวเสาของ เคอร์ติส โจนส์ อย่างไรก็ตาม เกมระดับนี้ หากคุณผิดพลาดครั้งเดียว มันอาจหมายถึงการเสียประตูได้เลย ซึ่งคราวนี้ รูเบน ดิอาซ ปราการหลัง เรือใบสีฟ้า ตัดสินใจพลาด เพราะไม่รู้จะสกัดบอลออกข้าง หรือ ตัดสินใจเก็บบอลไว้กับตัวเอง ในจังหวะที่ เทรนท์ อาร์โนลด์ โยนยาวจากแดนหลัง มาข้างหน้าให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จริงๆ ดิอาซ ถึงบอลก่อน ถ้าเตะเคลียร์ทิ้งก็จบไปแล้ว แต่เหมือนสกัดวืด บอลไปตกที่ตัว โม ซาลาห์ ได้กระฉาก ก่อนที่ ดิอาซ ไปดึงดาวเตะทีมชาติอียิปต์ ล้มลงในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าฟาวล์ให้ทันที โดย ซาลาห์ ลุกขึ้นมาสังหารไม่พลาด เป็นประตูตีเสมอ 1-1 แบบงงๆ เพราะโอกาสมีไม่เยอะ แต่ก็ทำให้โมเมนตั้มทีมกลับมา

- อลิสซอน โยนเกม

ปกติแล้ว จะเห็นกองหลังสร้างความผิดพลาดมากกว่า แต่คราวนี้กลายเป็น "พ่อหมี" แห่งแอนฟิลด์ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่โยนเกม 2 ครั้งซ้อน โดยในช่วงที่เสมอกันอยู่ 1-1 เจอร์เก้น คล็อปป์ เพิ่งเปลี่ยนตัวสำรองอย่าง เซอร์ดาน ชากิรี่ และ เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาไม่นาน เพื่อหวังทำประตูขึ้นนำให้ได้ แต่กลับกลายเป็นว่า อลิสซอน ทำผิดพลาดเสียเอง เมื่อเขาเตะเปิดบอลไม่ขึ้น ไปเข้าทางผู้เล่น เรือใบสีฟ้า ที่ยืนดักรออยู่ ก่อนที่ ฟิล โฟเด้น จะปาดเข้ามาหน้าปากประตูให้กับ อิลคาย กุนโดกัน ยิงขึ้นนำง่ายๆ 2-1 กล้องถ่ายทอดสดจับมาที่รีแอคชั่น อลิสซอน นั่งกับพื้นด้วยความผิดหวัง พร้อมเอามือทุบพื้นหญ้าไปอีกที เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจที่เขาก่อความผิดพลาด ประโยค "ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" อาจจะฟังดูแรงไปนิดนึง แต่ทว่ามันเข้ากับสถานการณ์ของ อลิสซอน จริงๆ เพราะดูเหมือนว่าจากการทำให้ทีมเสียประตูที่ 2 คงทำให้ขวัญกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว โดยให้หลังเพียงแค่ 3 นาที พ่อหมี เปิดบอลง่ายๆ แต่พลาดอีก หลังจะโชว์นิ่ง เปิดไปให้กับเพื่อนที่อยู่ด้านซ้าย แต่เปิดไม่ขึ้น ไปเข้าทาง แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่กำลังเดินอยู่เฉยๆ จากนั้น แบร์นาร์โด้ ได้บอลเลี้ยงเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะโชว์ความเยือกเย็น งัดบอลข้ามหัว อลิสซอน แบบนิ่มๆ ให้กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ดีดตัวเองมาทางเสาไกล ก้มโหม่งง่ายๆ ทำให้ เรือใบสีฟ้า ขึ้นนำ 3-1 เป็นความผิดพลาด 2 ครั้งซ้อนของ อลิสซอน ในเวลาห่างกันแค่ 3 นาที เท่านั้น

- โฟเด้น โคตรจี๊ด

ในช่วงที่ ลิเวอร์พูล กู่ไม่กลับ สมาธินักเตะหลุดกระเจิงไปหมดแล้ว ลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังคงออกอาวุธสาวหมัดไม่หยุดหย่อน เพื่อจะน็อค หงส์แดง ให้ปีกหักคาแอนฟิลด์ และ สุดท้ายก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อเจ้าหนู ฟิล โฟเด้น โชว์ความจี๊ดจ๊าดตรงริมเส้น โฟเด้น รับบอลมาจากการเปลี่ยนแกนของ กาเบรียล เชซุส แทนที่เจ้าหนูรายนี้ จะเลือกมองเพื่อนในกรอบเขตโทษ เพื่อครอสเข้ามาลุ้นทำประตูเพิ่ม แต่ด้วยความที่ โฟเด้น เล่นได้อย่างสุดติ่งกระดิ่งแมว บวกกับสกอร์นำถึง 3-1 ความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ทำให้ โฟเด้น กล้าลากจี้เข้าใส่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายของ ลิเวอร์พูล ก่อนจะหักออกซ้ายเข้าข้างถนัด ไม่ต้องแต่ง ไม่ต้องเติมอะไรมากมาย เขากดแบบเต็มตีนเตี่ย บอลแสกหน้า อลิสซอน เข้าไปอย่างเฉียบคม เป็นสกอร์ฝัง หงส์แดง แบบจมดิน 4-1 พร้อมกับยัดเยียดความปราชัยที่แอนฟิลด์ให้กับ ลิเวอร์พูล 3 นัดซ้อน

ฮาย ฮาวดี้-

logoline