logo-heading

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับศึก 2 ปีศาจเจอกัน นั่นคือ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้เล่นเป็นเจ้าบ้านก่อนดวลกับ "ปีศาจแดง-ดำ" เอซี มิลาน ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกแรกของศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งรูปเกมก็ค่อนข้างสูสีกัน และสุดท้ายก็กินกันไม่ลงจบ 90 นาทีที่ สกอร์ 1-1  เอซี มิลาน ได้เปรียบเล็กน้อยเพราะได้อเวย์โกลกลับอิตาลีไป 1 เม็ด ซึ่งเกมนี้มีจังหวะไหนน่าสนใจกันบ้างไปดูกันเลย 

  เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย เกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือทัพ "ปีศาจแดง" ตัดสินใจพัก ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายที่ฟอร์มกำลังดี แล้วให้โอกาส อเล็กซ์ เตลลิส ได้ลงทำหน้าที่แทน ส่วนคู่เซ็นเตอร์ก็พัก วิคตอร์ ลินเดเลิฟ แล้วให้ เอริค ไบยี่ ยืนจับคู่กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กัปตันทีม ขณะที่เกมรุกนั้น ไม่มีชื่อของ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เอดินสัน คาวานี่ ทั้งตัวจริงและตัวสำรอง แม้ว่าก่อนเกม โซลชา จะบอกว่ามีลุ้นลงเล่นก็ตามที โดยนัดนี้ใช้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เป็นหน้าเป้า ขนาบข้างด้วย ดาเนียล เจมส์ และ เมสัน กรีนวู้ด และแน่นอนต้องมี บรูโน่ แฟร์นันเดส เป็นเพลย์เมกเกอร์คอยสร้างสรรค์เกม ขณะที่ทางฝั่งผู้มาเยือน "ปีศาจแดง-ดำ" ของ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ ต้องบอกว่าบุกมาเยือนในสภาพทีมที่ค่อนข้างพิการ โดยเฉพาะผู้เล่นตัวรุกที่นัดกันเจ็บพร้อมกันทั้ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, มาริโอ มานด์ซูคิช และ อันเต้ เรบิซ ทำให้เกมนี้ต้องฝากความหวังไว้ที่ ราฟาเอล เลเอา และ บราฮิม ดิอาซ กองกลางก็มี แฟรงค์ เคสซี่ เป็นกำลังสำคัญ เพราะ ฮาคาน ฮัลคาโนกลู ก็ยังเจ็บอยู่ ส่วนเกมรับนัดนี้ ดิโอโก้ ดาโลต์ ที่ มิลาน ยืมตัวมาจาก แมนฯ ยู ได้ลงเล่นเจอต้นสังกัดที่แท้จริง โดยประจำการอยู่ทางวิงแบ็กฝั่งซ้าย หากมองจากชื่อชั้นนักเตะ 11 ตัวจริงแล้ว ก็ต้องบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นดูเหนือกว่าอยู่นิดๆ แล้วก็ได้เล่นในบ้านตัวเองด้วย ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นฝ่ายเดินหน้าทำเกมรุกบุกเข้าใส่ผู้มาเยือน แต่พอเริ่มเกมมาจริงๆ มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเริ่มมาได้แค่ไม่กี่นาที ราฟา เลเอา ดาวเตะ "ปีศาจแดง-ดำ" ก็ส่งบอลผ่านมือ ดีน เฮนเดอร์สัน เข้าสู่ก้นตาข่ายไปได้ก่อน ทว่าก็มาโดนจับล้ำหน้า แต่ก็ล้ำจริงโดยไร้ข้อโต้แย้ง ชนิดที่ไม่ต้องดู VAR ให้เสียเวลาเลยทีเดียว เพราะว่าบอลมันมาโดนมือเขาจริง ๆ  ถัดมาเป็นโอกาสยิงครั้งแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด บ้าง อเล็กซ์ เตลลิส ครอสบอลจากทางซ้ายให้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล พักอกก่อนจะตวัดฮาล์ฟวอลเลย์ บอลลอยจะเสียบคาน แต่ จีจี้ ดอนนารุมม่า ยังปัดออกหลังไปได้ จากนั้นนาทีที่ 11 ผีแดง ก็รอดพ้นจากการเสียประตูอีกครั้ง จากจังหวะที่ มิลาน ทุ่มบอล ผู้เล่น แมนฯ ยู เสียสมาธิปล่อยให้ แฟรงค์ เคสซี่ พักบอลและยิงตามน้ำหายเข้าประตูไป ซึ่งมันก็เหมือนจะเป็นประตูที่ใสสะอาด ผู้เล่นผีแดง ไม่ได้ประท้วงอะไรมากมาย ขณะที่แข้งมิลาน ก็กอดเฮกันกลมแล้ว ทว่า VAR ขอกลับมาเช็ค ซึ่งผลสรุปออกมาว่า บอลนั้นมันไปโดนแขนของ เคสซี่ ก่อนนิดนึงในจังหวะพักบอล ฉะนั้นลูกนี้จึงไม่เป็นประตู แมนฯ ยูไนเต็ด รอดพพ้นจากการโดนนำไปหวุดหวิด  ซึ่งแม้ว่าจะยิงเข้าแต่โดนปฏิเสธไป 2 ดอกเต็มๆ ทว่าเหล่าผู้เล่น มิลาน ก็ยังไม่ย่อท้อ เป็นฝ่ายทำเกมรุกบุกเข้าใส่ ผีแดง ได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้เปอร์เซ็นต์การครองบอลจะเป็นรองก็เถอะ แต่หาโอกาสจบได้เยอะกว่า นาทีที่ 30 ก็เกือบได้ประตูขึ้นนำ ซาเลอมาเคอร์ส ได้สับไกแต่ก็ยังไปติดเซฟ ดีน เฮนเดอร์สัน  มาถึงนาทีที่ 38 เป็นโอกาสของ แมนฯ ยูไนเต็ด บ้าง ซึ่งลูกนี้ควรใส่สกอร์แล้วแท้ๆ แต่ไม่ได้ซะงั้น จังหวะมันเริ่มจากเตะมุม เตลลิส เปิดมาที่เสาแรกให้ บรูโน่ แฟร์นันเดส โขกเสยไปที่เสา 2 แฮร์รี่ แม็คไกวร์ วิ่งเข้ามาชาร์จตามสูตรที่จุดนัดพบ แต่บอลมันไปแฉลบมือของ ดอนนารุมม่า นิดส์นึง ทำให้บอลเปลี่ยนทางเล็กน้อย แม็คไกวร์ เลยเข้ามาชาร์จผิดจังหวะไปหน่อย ตรงประมาณ 4 หลาหน้าประตู ชาร์จไปโดนเสานอก กระดอนออกไป พลาดได้ประตูขึ้นนำอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะจบครึ่งแรกลงไปแบบไร้สกอร์  ครึ่งหลัง โซลชา ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเร็วทันทีถด อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ไร้ประโยชน์โคตรๆ ออกไปแล้วส่ง อาหมัด ติยัลโล่ ลงมาเล่นแทน พลางขยับ เมสัน กรีนวู้ด ขึ้นไปเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าแทน น้องหมาก ซึ่งพอเปลี่ยนปุ๊ป ก็ได้ผลปั๊ป ไม่ต้องรอนาน นาทีที่ 49 ดิยัลโล่ ก็จัดให้ จากจังหวะที่ บรูโน่ แฟร์นันเดส ตักบอลจากกลางสนามให้ ดิยัลโล่ ใช้ความไวโฉบเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะโชว์ความฉลาดด้วยการหันหลังโขกบอลเสยเข้าประตูไป กลายเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในทีมชุดใหญ่ และส่งให้ ผีแดง ออกนำ 1-0 หลังจากได้ประตูขึ้นนำ ผีแดง ก็ดูคึกคักเป็นพิเศษ กลายเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกบุกเข้าใส่ต่อเนื่อง ส่วน มิลาน ก็กำลังเมาหมัด กำลังมึนๆ งงๆ นาทีที่ 53 ดาเนียล เจมส์ ฉกฉวยความผิดพลาดของแนวรับ มิลาน ใช้ความเร็วจี้ไปในเขตโทษ แต่จังหวะยิงยังไปติดบล็อคของ คาลาเบรีย ออกหลังไปก่อน แต่พอผ่านไปได้สักพักหลังจากเสียประตู มิลาน ก็ดูจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนทางฝั่ง แมนฯ ยู ก็เล่นเน้นเกมรับแล้วรอโต้กลับด้วยความเร็วของ 3 แนวรุก กรีนวู้ด, เจมส์ และ ดิยัลโล่ แต่จังหวะสุดท้ายก็ไม่เฉียบคมพอที่จะหนีห่างเป็น 2-0  เช่นเดียวกับ เอซี มิลาน ที่แม้จะหาโอกาสป้วนเปี้ยนหน้ากรอบเขตโทษของ ผีแดง ได้เรื่อยๆ แต่จังหวะจบสุดท้ายก็ยังขาดๆ เกินๆ ไม่เฉียบคมพอ ทำให้เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยการเปิดซิงยิงประตูแรกของ ดิยัลโล่ แล้วก็เป็นฮีโร่ช่วยให้ ผีแดง กุมความได้เปรียบในเลกแรก ทว่าช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 2 แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองก็สกัดบอลออกหลัง กลายเป็นเตะมุมของ "ปีศาจแดง-ดำ" ราเด้ ครูนิช เปิดครอสเข้ากลางมา ซิมง เคียร์ วิ่งสับหลอกหนีตัวประกบสอดเข้ามาโขกสะบัด ดีน เฮนเดอร์สัน พุ่งปัดได้ปลายมือ แต่ไม่แรงพอที่จะทำให้บอลข้ามคานออกหลัง บอลปลิ้นเข้าประตูไปกลายเป็นประตูตีเสมอของ เอซี มิลาน ทันที และสุดท้ายก็จบเกมลงไปด้วยสกอร์นี้ 1-1 ประตู ต้องไปลุ้นกันต่อแบบห้ามกระพริบตาในเลก 2 ที่ ซาน ซีโร่ วันพฤหสหน้า ประตูนี้เรียกว่าเป็นประตูสำคัญเลยทีเดียว เพราะทำให้ความได้เปรียบพลิกข้ามฟากกลับมาอยู่ทีม มิลาน และยิ่งทำให้เกมสัปดาห์หน้าเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม มันเป็นเหมือนการชูรสชาติให้เกม ยูโรปา ลีก ที่หลายคนมองข้าม กลายเป็นเกมที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง   

ถ้าจะมีอะไรที่น่าเสียดายก็คือ สองทีมนี้ไม่น่ามาเจอกันตั้งแต่รอบนี้เลย

 

ชิน ชินพัฒน์

logoline