logo-heading

ความหวังในการคว้า ทริปเปิ้ล แชมป์ ในฤดูกาลนี้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดับสูญลงอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว หลังจากบุกไปแพ้ให้ เลสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ประตู ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปิ๋วไปอีกถ้วย ซึ่งเกมนี้มีจังหวะไหนอะไรที่น่าสนใจบ้าง ขอบสนาม เก็บเอามาฝากกันเป็นที่เรียบร้อย ไปเริ่มกันเลย

  เริ่มต้นที่การจัดทีมเกมนี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือของ เลสเตอร์ ซิตี้ เจ้าถิ่นที่เกมนี้เป็นการคุมทัพ จิ้งจอกสยาม นัดที่ 100 ของเจ้าตัว วางหมากมาในระบบ 3-4-1-2 จัดหนักจัดเต็มแบบไม่มีโรเตชั่น แต่ก็ขาด ฮาร์วีย์ บาร์นส์ กับ เจมส์ แมดดิสัน 2 ตัวรุกคนสำคัญที่ยังเจ็บอยู่ โดยความหวังฝากไว้ที่ 2 กองหน้าอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ และ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่กำลังฟอร์มฮ็อท ขณะที่ ผีแดง ผู้มาเยือนของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จัดทีมชุดผสม มีการโรเตชั่น ทั้งๆ ที่เดี๋ยวก็จะพักเบรคทีมชาติแล้ว โดยให้โอกาส อเล็กซ์ เตลลิส ลงเล่นเป็นแบ็กซ้ายแทน ลุค ชอว์ กองกลางวาง เนมานย่า มาติช คู่กับ เฟร็ด เพลย์เมกเกอร์พัก บรูโน่ แฟร์นันเดส เปิดโอกาสให้ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค พิสูจน์ฝีเท้า ตัวรุกริมเส้นเป็น เมสัน กรีนวู้ด กับ ปอล ป็อกบา กองหน้าใช้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เริ่มเกมมาได้ 3 นาที เลสเตอร์ ก็เกือบได้ประตูขึ้นนำ เจมี่ วาร์ดี้ หลุดมาทางซ้ายก่อนปาดเข้ากรอบเขตโทษหวังใจจะให้ อิเฮียนาโช่ โฉบเข้ามาชาร์จ แต่ยังดีที่ อเล็กซ์ เตลลิส ยังวิ่งตามมาซ้อน สไลด์บอลออกหลังไปได้หวุดหวิด นาทีที่ 12 เป็นโอกาสของ ผีแดง บ้าง เตลลิส เปิดเตะมุมมาที่เสาสอง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เทคตัวขึ้นโขกคนเดียว แต่บอลย้อยไม่มีน้ำหนัก แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล รับสบายหายห่วง นาทีที่ 16 ผีแดง เกือบโดนนำ จากจังหวะที่ เฟร็ด ไปเสียบอลให้ อโยเซ่ เปเรซ จ่ายให้ วาร์ดี้ เปิดตัดเข้ากลางติดขา แม็คไกวร์ กระเด็นกลับไปเข้าทาง วาร์ดี้ อีกที คราวนี้พี่แกเลยยิงสวนทันที แต่ยังดีที่ ดีน เฮนเดอร์สัน ล้มตัวปัดเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตามนาทีที่ 24 เลสเตอร์ ก็ออกนำจนได้ จากจังหวะผิดพลาดง่ายๆ ของ เฟร็ด ที่รับบอลจ่ายหน้าประตูมาจาก แม็คไกวร์ แล้วไม่รู้ล่กหรือลนลานอะไร กะจะส่งคืนกลับไปให้ เฮนเดอร์สัน แต่เบาไป กลายเป็นส่งให้ อิเฮียนาโช่ แตะหลอกน้องดีน เข้าไปยิงง่ายๆ ให้ เลสเตอร์ ขึ้นนำ 1-0 ซะอย่างงั้น  หลังจากโดนนำ เกมของ ผีแดง ก็ดูกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย นาทีที่ 27 เฟร็ด พยายามจะแก้ตัว กึ่งยิงกึ่งผ่านมาหน้าประตูบอลลอยเข้าเขตโทษ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ต้องปัดทิ้งออกหลังไป จนกระทั่งนาทีที่ 37 ทีมเยือนก็มาตามตีเสมอสำเร็จ จากจังหวะที่ ปอล ป็อกบา หลุดไปถึงริมเส้นฝั่งซ้าย เปิดกลับเข้ามากลางประตูที่จุดนัดพบ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ข้ามหลอกให้บอลไหลไปถึง เมสัน กรีนวู้ด วิ่งมายิงตามน้ำจังหวะเดียวเข้าประตูไป ปีศาจแดง ตีเสมอเป็น 1-1 ก่อนจะจบครึ่งแรกลงไปด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลังเป็นเจ้าถิ่น เลสเตอร์ ที่เริ่มต้นได้อย่างคึกคักกว่า ทั้งการเพรสซิ่งไล่บอล และครองเกมรุกบุกเข้าใส่ และก็รอไม่นานเพียงแค่ 6 นาทีหลังสตาร์ทครึ่งหลัง พวกเขาก็มาได้ประตูออกนำอีกครั้ง จากจังหวะที่ ยูริ ติเลอม็องส์ ทำชิ่ง 1-2 กับ อิเฮียนาโช่ ก่อนจะลากหนีแนวรับของ แมนฯ ยู เข้าไปซัลโวผ่านมือ ดีน เฮนเดอร์สัน ง่ายๆ ให้ เลสเตอร์ ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 หลังโดนนำอีกครั้ง ผีแดง ก็กลับมามีลูกฮึดนิดๆ เริ่มเดินเกมบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นบ้าง แต่จังหวะสุดท้ายก็ยังขาดๆ เกินๆ มีเกือบตีเสมอได้จากลูกยิงไกลของ อเล็กซ์ เตลลิส แต่ก็หลุดกรอบออกหลังไป นาทีที่ 58 เลสเตอร์ พลาดโอกาสทิ้งห่าง 3-1 ไปแบบเหลือเชื่อ เจมี่ วาร์ดี้ รับบอลแทงทะลุช่องก่อนจะแตะหนี แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เข้าไปดวลเดี่ยวกับ ดีน เฮนเดอร์สัน ทว่า วาร์ดี้ กลับยิงถากเสาออกหลังไปเองซะอย่างงั้น ทำให้ จิ้งจอกสยาม ยังนำอยู่แค่ 2-1 ประตู นาทีที่ 64 โซลชา เห็นท่าไม่ดี ลูกทีมยังหาโอกาสยิงตรงกรอบในครึ่งหลังไม่ได้เลย ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนตัวทีเดียวพร้อมกัน 4 คน เอาพวกตัวหลักอย่าง บรูโน่ แฟร์นันเดส, สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์, ลุค ชอว์ และ เอดินสัน คาวานี่ ลงมาหวังจะเอาประตูตีเสมอให้ได้ หลังจากเปลี่ยนตัวเกมรุกของ ผีแดง ก็ดูวูบวาบขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังติดอยู่ตรงจังหวะสุดท้ายอยู่ดี ซึ่งสุดท้ายพอตีเสมอไม่ได้ ก็มาโดนลงโทษ เลสเตอร์ หนีห่างฝังเป็น 3-1 จากจังหวะฟรีคิก มาร์ค อัลไบร์ทตัน เปิดข้ามมาให้ อิเฮียนาโช่ ขึ้นโขกโล่งๆ คนเดียวที่เสาสอง ดีน เฮนเดอร์สัน พยายามปัดป้องแต่บอลแรง ปลิ้นเข้าประตูไป กลายเป็นประตูปิดฝาโลงให้ ผี หลับสบายหายห่วง จบ 90 นาที เลสเตอร์ ซิตี้ ทำได้ เขี่ย ปีศาจแดง ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ผ่านเข้าไปเจอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในรอบรองชนะเลิศ และเป็นการผ่านเข้าสู่รอบรอง เอฟเอ คัพ ครั้งแรกของสโมสร นับตั้งแต่ฤดูกาล 1981/82 อีกด้วย ซึ่งเห็นผลการจับสลากแบบนี้แล้วก็พาเสียดาย เพราะว่าหากว่า “ปีศาจแดง” ผ่านนัดนี้ไปได้ รอบชิงชนะเลิศก็อยู่แค่เอื้อม เพราะว่าอีกคู่ เชลซี เขาไปตัดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้  และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งนัดที่ชัดเจนว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สมควรโดนด่า และโดนวิจารณ์อีกครั้งว่าเขาคือคนที่ใช่หรือไม่กับการจะพาทีม “ปีศาจแดง” กลับไปพุ่งชนกับความสำเร็จ 

เพราะว่านัดนี้ ตัวเขาแพ้ให้กับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แบบราบคาบ ทุกรูขุมขน เลยทีเดียว

ชิน ชินพัฒน์

logoline