logo-heading

จบลงไปแล้วกับการรีแมตซ์นัดชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2018 ระหว่าง เรอัล มาดริด กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งผู้ชนะในยกแรกนั้นก็ยังคงเป็น "ราชันชุดขาว" ที่เปิดบ้านเอาชนะไปได้ก่อน 3-1 ประตู ซึ่งเป็นสกอร์เดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่ต่างวาระเท่านั้น โดยเกมนัดนี้มีหลายสิ่งที่น่าสนใจมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

  เริ่มต้นที่การจัดทีมก่อนเลย เกมนี้ก่อนเกมไม่ถึง 10 ชั่วโมงเจ้าถิ่น เรอัล มาดริด ได้รับข่าวร้าย ราฟาเอล วาราน แนวรับดีกรีแชมป์โลกถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถลงเล่นในเกมนี้ได้ นั่นหมายความว่า "ราชันชุดขาว" จะขาด 2 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักพร้อมกันในนัดนี้ เพราะ เซร์คิโอ รามอส กองหลังกัปตันทีมก็เจ็บมาก่อนหน้านี้แล้ว โดย ซีเนอดีน ซีดาน เลือกใช้ นาโช่ คู่กับ เอแดร์ มิลิเตา ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ขนาบข้างด้วย แฟร์กล็องต์ เมนดี้ กับ ลูคัส บาซเกซ ที่ต้องถอยมายืนเป็นฟลูแบ็คจำเป็นแทนที่ ดานี่ กาบาร์ฆัล ที่ยังมีอาการบาดเจ็บ  กองกลางวาง โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช และ กาเซมิโร่ ส่วน 3 ประสานในแดนหน้าก็มี มาร์โก อเซนซิโอ้, วินิซิอุส จูเนียร์ และ คาริม เบนเซม่า ที่เกมนี้รับบทเป็นกัปตันทีม ขณะที่ ลิเวอร์พูล ทีมเยือน อย่างที่เราทราบกันดีว่าพวกเขาก็มีปัญหาเรื่องกองหลังเหมือนกัน แต่ช่วงหลังทั้ง แนท ฟิลลิปป์ และ โอซาน คาบัค ก็ทำได้ดีขึ้น จนเหล่า "เดอะ คอป" เริ่มวางใจได้มากกว่าแต่ก่อน แบ็คขวาซ้ายก็ยังคงเป็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กองกลางวาง ฟาบินโญ่, นาบี เกอิต้า และ จินี่ ไวจ์นัลดุม ส่วน 3 ประสานก็เป็น โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ ดิโอโก้ โชต้า ที่กำลังฟอร์มแรงได้ลงเป็นตัวจริงก่อน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่  ซึ่งจะว่าไปแล้วดูจากการวางหมากมา เหมือนกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเน้นกลางแน่นเหนียวไว้ก่อน ทว่าพอเอาเข้าจริงๆ กลับกลายเป็นว่า แผงมิดฟิลด์ของทัพ "หงส์แดง" นั้นสู้เจ้าถิ่นไม่ได้เลย เสียบอลตลอด แย่งบอลคืนก็ไม่ได้ ซึ่งพอกองกลางทำเกมไม่ได้ 3 ประสานแนวรุกก็จนปัญญาไร้พิษสง หนำซ้ำ เรอัล มาดริด ยังบุกกระหน่ำเข้าใส่มาเป็นระลอกๆ เจาะทั้งริมเส้นและตรงกลาง เรียกได้ว่ามีช่องเข้าทำมากมาย ผ่านไป 20 นาที เรอัล มาดริด เล่นได้เหนือกว่าและหาโอกาสจบสกอร์ได้เยอะกว่า ลิเวอร์พูล แบบชัดเจน จนกระทั่งนาทีที่ 26 ความพยายามของเจ้าถิ่นก็เป็นผลสำเร็จ ได้ประตูขึ้นนำจนได้จากจังหวะที่ โทนี่ โครส โชว์ทักษะและความแม่นยำ วางบอลยาวจากแดนตัวเองตัดแนวรับ หงส์แดง ให้ วินิซิอุส หลุดกับดักล้ำหน้า พักอกหนี แนท ฟิลลิปป์ กับ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เข้าไปยิงสวนตัว อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายด่านเพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลเข้าประตูไป ซึ่งลูกนี้ โทนี่ โครส ที่เป็นคนจ่ายนั้นถูกพูดถึงไม่แพ้ วินิซิอุส ที่เป็นคนยิงเลย เอาง่าย ๆ หลังทำประตูได้ เจ้าหนุ่มแซมบ้า ถึงกับต้องไปคารวะกองกลางรุ่นพี่ชาวเยอรมันกันเลยทีเดียว  หลังออกนำ แทนที่ ลิเวอร์พูล จะตื่นจะฟื้นไข้ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังเมาไม่สร่าง ยังคงโดน เรอัล มาดริด เปิดหน้าบุกเข้าใส่หวังเอาประตูที่ 2 ให้ได้ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็ทำสำเร็จในนาทีที่ 36 จุดเริ่มต้นจากก โทนี่ โครส คนดีคนเดิมอีกแล้ว วางบอลยาวจากแดนตัวเองหวังให้ วินิซิอุส ทางริมเส้นฝั่งซ้าย แต่โดน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โขกสกัดไว้ ทว่าดันโหม่งกลับเข้ากลางประตู แล้วไม่ได้ดูเลยว่า มาร์โก อเซนซิโอ้ ยืนรออยู่ ซึ่งพอบอลไปถึง อเซนซิโอ้ ก็โชว์ทักษะยกบอลข้ามหัว อลิสซอน ก่อนจะยิงเข้าไปง่ายๆ ส่งให้ "ราชันชุดขาว" ขึ้นนำ 2-0 ประตู โดยช่วงท้ายครึ่งแรก เรอัล มาดริด พลาดโอกาสที่จะทิ้งห่างเป็น 3-0 อย่างน่าเสียดาย เพราะ โอซาน คาบัค แนวรับ หงส์แดง อุตส่าห์แจกโชคส่งคืนหลังเบาไป กลายเป็นไปเข้าทาง อเซนซิโอ้ ได้หลุดเดี่ยวไปดวลกับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ทว่า อเซนซิโอ้ ดันรีบไปหน่อย ยิงไม่ดีพอ บอลไหลผ่านหน้าปากประตูออกหลังไป ก่อนจะจบครึ่งแรกลงด้วยสกอร์ 2-0 ด้วยรูปเกมที่เจ้าถิ่นเหนือกว่าทุกกระบวนท่า มีโอกาสยิงถึง 9 ครั้ง ตรงกรอบ 4 ได้มา 2 ลูก ส่วน "หงส์แดง" หาโอกาสทำประตูไม่ได้เลยสักครั้ง พูดง่ายๆ คือถ้าเอา ลุงตู่ ไปเป็นโกล์แทน ติโบต์ กูร์กตัวส์ ก็ไม่โดนยิงอยู่ดี เพราะไม่ได้มีจังหวะเซฟเลย (แต่อาจจะโดนอย่างอื่นแทนก็ได้) เริ่มเกมครึ่งหลังมา ดูเหมือนว่าการถอด นาบี เกอิต้า ออกแล้วส่ง ติอาโก้ อัลคันทาร่า ลงมาในช่วงท้ายครึ่งแรก จะทำให้เกมของ ลิเวอร์พูล ดูดีขึ้น ประกอบกับ เรอัล มาดริด เองก็อาจจะชะล่าใจกันเกินไปหน่อย ทำให้เริ่มต้นครึ่งหลังมาได้แค่ 6 นาที หงส์แดง ก็มาได้ประตูที่ต้องการจากจังหวะที่ ดิโอโก้ โชต้า ยิงไปแฉลบแข้งมาดริด บอลปลิ้นมาเข้าทาง โม ซาลาห์ ยิงติดเซฟ กูร์กตัวส์ แต่บอลก็ยังแรงลอยโด่งไปชนคานล่างเข้าประตูไป แม้จะมีการเช็ค VAR ว่าล้ำหน้ามั้ยให้แฟนหงส์ได้ลุ้นนิดๆ แต่ก็ไม่มีอะไร ซาลาห์ อยู่ในไลน์ ลิเวอร์พูล ไล่มาเป็น 2-1 ประตู และลูกนี้ถือเป็นประตูสำคัญมากเพราะเป็นอเวย์โกลล์ หลังได้ประตูตีไข่แตก เกมก็สูสี ลิเวอร์พูล กะจะบุกหวังตีเสมอในช่วงที่ มาดริด ยังตั้งขบวนไม่ได้ ส่วนทางเจ้าถิ่นเองก็เน้นรับแล้วโต้ บอลสู้กันไปมาผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ก็ยังหาจังหวะจั๋งๆ ไม่ได้ จนกระทั่ง นาทีที่ 65 ลิเวอร์พูล ก็พลาดท่าง่ายๆ ให้ มาดริด อีกครั้ง คาริม เบนเซม่า ได้บอลเขตโทษฝั่งขวา ก่อนจ่ายย้อนคืนมาให้ ลูก้า โมดริช แหวกหนี คาบัค แล้วบรรจงปาดเข้ากลางให้ วินิซิอุส ที่ยืนรออยู่บริเวณจุดโทษ ก่อนจะยิงจังหวะเดียวตามน้ำลอดดาก แนท ฟิลลิปป์ และผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้าประตูไป "ราชันชุดขาว" นำห่างเป็น 3-1 และ วินิซิอุส ก็ได้ลุ้นแฮตทริกด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากหนีห่างด้วยผลต่าง 2 ลูกอีกครั้ง เรอัล มาดริด ก็ผ่อนเกมรุกลงไปอย่างเห็นได้ชัด ลงไปเล่นเน้นรับแพ็คกลางให้แน่น ปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ได้ครองบอลป้วนเปี้ยนไปมา แล้วรออาศัยจังหวะสวนกลับเอา แต่ทางฝั่ง "หงส์แดง" เอง เกมนี้ก็มีแต่จังหวะขาดๆ เกินๆ เข้าทำกันไม่ดี จบสกอร์กันไม่คม แม้ว่าจะแก้เกมด้วยการเปลี่ยนเอา โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงมาเกมก็ยังตันๆ ตื้อๆ อยู่ สุดท้ายแม้ว่าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล จะทำได้ดีกว่าครึ่งแรกแบบชัดเจน แต่ก็ยิงได้แค่ลูกเดียว แล้วก็โดนเพิ่มอีกลูกเช่นกัน จบ 90 นาที เรอัล มาดริด กุมความได้เปรียบไปก่อนในเลกแรกด้วยสกอร์ 3-1 ประตู ซึ่งเป็นสกอร์เดียวกับนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2018 เป๊ะๆ แต่หนนี้ก็ยังดีที่มันไม่ใช่นัดชิง และ "หงส์แดง" ก็ยังอุตส่าห์เก็บอเวย์โกลล์กลับไปได้ ทำให้ยังเสียเปรียบไม่มากนัก นัดที่ 2 อะไรก็เกิดขึ้นได้ รอลุ้นกันต่อในสัปดาห์หน้า

ชิน ชินพัฒน์

logoline