logo-heading

เกมบิ๊กแมตซ์ของศึก พรีเมียร์ลีก สัปดาห์นี้ได้จบลงไปแล้ว แล้วก็เป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถอนแค้นได้สำเร็จ หลังจากเกมแรกของซีซั่นนี้แพ้คาบ้านให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไป 6-1 ประตู โดยเกมนี้ "ผีแดง" บุกมารัว 3 เม็ดในครึ่งหลัง แซงชนะ "ไก่เดือยทอง" ไปได้ 3-1 ประตู ซึ่งเกมนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย

เริ่มต้นที่การจัดทีม เกมนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ถือว่าจัดหนักจัดเต็มโดยเฉพาะแผงเกมรุกที่ไม่มีตัวเจ็บไม่มีตัวแบน พร้อมลงเล่นกันทุกคน แถมได้พักมาเต็มๆ เพราะตกรอบยูฟ่า ยูโรปา ลีก ไปแลว โดยเกมนี้ ใช้ แฮร์รี่ เคน เป็นกองหน้าตัวเป้า ขนาบข้างด้วย ลูคัส มูร่า และ ซน เฮือง-มิน กองกลางมี ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ กับ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก คอยตัดเกม ส่วนสำรองก็มีตัวพลิกเกมอย่าง แกเร็ธ เบล, คาร์ลอส วินิซิอุส และ เอริค ลาเมล่า รอโอกาสอยู่ ตัดสลับกลับมาดูที่ทางทีมเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กันบ้าง แม้ว่าเพิ่งจะออกไปเล่นเกมกลางสัปดาห์มาที่สเปน ด้วยการบุกไปอัด กรนาด้า มา 2-0 ในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก แต่เกมนี้ก็ไม่ได้มีการโรเตชั่นอะไร จัดชุดใหญ่ใส่เต็มเท่าที่จะทำได้ จะพักจริงๆ ก็แค่ เมสัน กรีนวู้ด ส่วน ดาเนียล เจมส์ ไม่มีชื่อทั้งตัวจริงและตัวสำรอง คาดว่าน่าจะเจ็บ แต่สิ่งที่แฟนผีให้ความสนใจกันตอนเห็น 11 ตัวจริง ก็น่าจะเป็นตำแหน่ง ผู้รักษาประตูที่ดูเหมือนว่า ดาบิด เด เคอา ที่อยู่เฝ้าเสาให้ "ผีแดง" มาเป็น 10 ปี จะหลุดเป็นมือ 2 เสียตำแหน่งให้ ดีน เฮนเดอร์สัน ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เริ่มเกมมาเป็น สเปอร์ส เจ้าถิ่นที่ดูท่าว่าจะทำได้ดีกว่าเล็กน้อย ได้ทักทายก่อนตั้งแต่นาทีที่ 3 จากจังหวะที่ ลูคัส มูร่า ยิงไกลนอกกรอบแฉลบ ลุค ชอว์ ออกหลังไป แล้วก็มาได้ลุ้นต่อจากจังหวะเตะมุม ตี๋ซน ได้เก็บตกยิงไกลแต่บอลก็หลุดกรอบออกไปไม่ได้ลุ้นอะไรมากมาย จากนั้นเกมก็ค่อนข้างสูสียื้อกันไปมา ชิงจังหวะ ใครดีใครได้ แล้วนาทีที่ 33 ก็มาเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ก่อนจากจังหวะที่ ปอล ป็อกบา จ่ายลอดดากให้ เอดินสัน คาวานี่ ยิงลอดดาก อูโก้ ยอริส อีกที ดีใจกันเสร็จเรียบร้อย แต่ดันมี VAR มาทลายความสุข ย้อนดูจังหวะก่อนหน้านู้นนนนนน ซึ่งเป็นจังหวะที่ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ เอาบอลหนี ซน เฮือง-มิน มาได้ แต่มือดันไปพาดป่ายไปโดนหน้าของ ตี๋ซน เล็กน้อย ซึ่งมันเป็นจังหวะต่อเนื่องและเป็นที่มาของประตู ผู้ตัดสินขอเดินไปดูภาพช้าด้วยตัวเองก่อนจะริบสกอร์นี้กลับคืน เท่านั้นไม่พอ แฟนผี ที่กำลังหัวร้อนกับ VAR ยิ่งหัวร้อนหนักเข้าไปใหญ่ เพราะว่าถัดมาแค่ 6 นาที จากที่จะขึ้นนำกลับกลายเป็นโดนนำซะอย่างงั้น แล้วที่สำคัญมันปล่อยให้เสียง่ายซะเหลือเกิน แซร์จ ออริเยร์ จ่ายให้ แฮร์รี่ เคน เบิ้ลบอลต่อไปผ่าน วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ที่สกัดพลาด บอลไหลไปถึง ลูคัส มูร่า ปาดไปเสาสองให้ ตี๋ซน วิ่งมาแปบอลเข้าไปง่ายๆ กลายเป็น ไก่เดือยทอง ออกนำก่อน 1-0 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลัง ผีแดง ที่รูปเกมในครึ่งแรกดูเป็นรองอยู่เล็กน้อย แก้เกมมาได้ดีมาก เพราะเริ่มโหมกระหน่ำทำเกมรุกบุกเข้าใส่ ไก่เดือยทอง ของ โชเซ่ มูรินโญ่ อย่างเห็นได้ชัด แสดงถึงความกระหายที่อยากจะได้ประตูตีเสมอ และแล้วในที่สุดนาทีที่ 57 ความพยายามของ ผีแดง ก็ประสบผลสำเร็จ เฟร็ด ทำชิ่งไปมา จนสุดท้ายจ่ายให้ คาวานี่ ยิงไปติดเซฟ ยอริส แต่บอลก็กระเด็นมาเข้าทาง เฟร็ด วิ่งตามไปซ้ำซัดเสยคานเข้าประตูไป ผีแดง ไล่มาเป็น 1-1 ได้สำเร็จ และเป็นประตูที่ 2 ของ เฟร็ด ใน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ยู เมื่อปี 2018 พอได้ประตูตีเสมอ สเปอร์ส ก็ดูจะเหวอไปเลย ปล่อยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลครองเกมและหาโอกาสจบสกอร์ได้มากกว่า แต่ก็มีเถียงบ้างจากจังหวะยิงของ ตี๋ซน กับ แฮร์รี่ เคน แต่ ดีน เฮนเดอร์สัน ก็ยังปัดป้องเอาไว้ได้ ตอบแทนความไว้วางใจของ โซลชา ได้เป็นอย่างดี ส่วน ผีแดง ก็ได้ลุ้นจากจังหวะยิงไกลของ บรูโน่ แฟร์นันเดส แต่ ยอริส ก็ยังพุ่งปัดเอาไว้ได้ดีเช่นกัน และแล้วจุดเปลี่ยนของเกมนี้ก็มาถึงตอนนาทีที่ 72 ที่ โซลชา ตัดสินใจถอด มาร์คัส แรชฟอร์ด ออกแล้วส่ง เมสัน กรีนวู้ด ลงมาเล่นแทน แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ เพราะ เจ้าหนูไม้เขียวใช้เวลาอยู่ในสนามไม่ถึง 8 นาทีก็สามารถเปิดบอลสุดสวยให้ เอดินสัน คาวานี่ ตอปิโดบกโขกเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ผีแดง แซงนำเป็น 2-1 และเป็นประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีกของ คาวานี่ ในฤดูกาลนี้ แถม 5 จาก 7 ประตูมาจากลูกโหม่งซะด้วย หลังขึ้นนำได้สำเร็จ แมนฯ ยู ก็มีการผ่อนเกมบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับแผ่วไป ส่วน สเปอร์ส เองก็เจาะไม่ค่อยเข้า มีได้เสียวกับจังหวะเตะมุม ที่เปิดมาแล้ว คาวานี่ โขกสกัดไปชนเสา นอกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่อันตราย สุดท้ายเกมก็ทำท่าว่าจะจบลงด้วยสกอร์นี้ แต่แล้วทดเจ็บนาทีสุดท้าย แมนฯ ยู ก็มาได้ประตูฝัง จากจังหวะที่ผู้เล่นของ ไก่เดือยทอง เทขึ้นหน้ากันหมด โดน ปอล ป็อกบา โชว์สเต็ปก่อนจ่ายออกขวาไปให้ กรีนวู้ด ล่อหลอกเลี้ยงหลบให้เข้าทางของตัวเอง ก่อนจะซัดลูกถนัดผ่านมือ ยอริส เข้าประตูไป ทำให้หนีห่างเป็น 3-1 และดับฝันการมีแต้มของ สเปอร์ส ไปโดยปริยาย และสุดท้ายก็จบด้วยสกอร์นี้ ซึ่งต้องยอมรับว่า โซลชา เปลี่ยนตัวได้เจ๋งเป้งจริงๆ และมันก็ทำให้ แมนฯ ยู ไล่ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ เหลือ 11 แต้ม และแข่งน้อยกว่า 1 นัด ส่วน 0 แต้มของ สเปอร์ส เกมนี้ส่งผลใหญ่หลวงเพราะโอกาสที่จะไล่บี้ติดท้อปโฟร์มันชั่งยากเย็นเสียเหลือเกิน โดยตอนนี้อยู่อันดับ 7 ตามหลัง เวสต์แฮม อันดับ 4 อยู่ 6 คะแนน แล้วนอกจาก ขุนค้อน ก็ยังมีทีมที่ร่วมแย่งอยู่ทั้ง เชลซี, เอฟเวอร์ตัน และ ลิเวอร์พูล และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ผีแดง สร้างเซอร์ไพร้ส์ให้แฟนบอล ด้วยการพลิกกลับมาเอาชนะคู่แข่งได้ แถมเป็นในญานะทีมเยือนอีกแล้ว ซึ่งชัยชนะเกมนี้ทำให้ แมนฯ ยู ไม่แพ้เกมเยือนใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 23 นัด ชนะ 15 เสมอ 8 ซึ่งในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก พวกเขาเป็นรองเพียงแค่ อาร์เซน่อล ที่ไม่แพ้เกมเยือน 27 นัด ในช่วงปี 2003-2004

ชิน ชินพัฒน์

logoline