logo-heading

เกมเรียกน้ำย่อยก่อนรอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้จบลงไปเป็นที่เรียบร้อย และก็แอบพลิกล็อคเล็กๆ ด้วยเพราะว่า เชลซี สามารถบุกมาพลิกเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้ถึงถิ่น ทั้งที่จริงๆ “เรือใบสีฟ้า” อยากจะชนะเพื่อคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ให้มันจบๆ เกมนี้มีเรื่องราวอะไร เป็นไงบ้างไปดูกัน

  เริ่มต้นกันที่การจัดทีมเกมนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังคงจัดทีมแบบทีเล่นทีจริง พักตัวหลักอย่าง อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาร์โด้ ซิลบา, ฟิล โฟเด้น  และ ริยาด มาห์เรซ ไว้เป็นแค่ตัวสำรอง แล้วก็ส่งคู่กองหน้า เซร์คิโอ อเกวโร่ กับ กาเบรียล เฆซุส และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ลงมาเป็นตัวความหวัง แถม เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางตัวเก่ง ก็มาเจ็บลงเล่นไม่ได้อีกด้วย ตัดสลับกลับมาดูที่ทางทีมเยือน เชลซี ที่ต้องการแต้มอย่างมากเพื่อคว้าโควต้าติดท้อปโฟร์โดยที่ไม่ต้องหวังพึ่งการคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก จัดหนักจัดเต็มเลย เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์ปอดเหล็ก ยืนพื้น ขนาบข้างด้วย ฮาคิม ซีเย็ค, คริสเเตียน พูลิซิช และ ติโม แวร์เนอร์ เปิดฉากเริ่มเกมมาได้ไม่ถึง 4 นาที แฟร์รัน ตอร์เรส ก็มีโอกาสได้ทักทายก่อนใครเพื่อนเลย จากจังหวะที่กระชากบอลหนีตัวประกบไปซัดที่เสาแรกแต่ก็โดน อันโตนิโอ รูดิเกอร์ วิ่งมาเบียด ทำให้ยิงได้ไม่เต็มตีนหลุดเสาออกไป ถือว่าทักทายได้น่าสนใจ เกมดำเนินต่อไปแล้วก็ยังเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ได้ลุ้นอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าเกมจะดูสูสีแต่จังหวะจบสกอร์ก็ยังเป็น "เรือใบ" ที่ทำได้ดีกว่า แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นโดดเด่นขนาดนั้นแลกกันมันส์อยู่ สลับกันรับสลับกันรุก แบบอึดอัดเล็กๆ แล้วเกมครึ่งแรกก็ทำท่าว่าจะจบลงด้วยผลเสมอ แต่นาทีที่ 44 ก็มีประตูแรกของเกมจนได้ ซึ่งมันเกิดจากความผิดพลาดของ อันเดรส คริสเตนเซ่น แนวรับ "สิงห์บลูส์" ที่ดักบอลพลาดทำให้โดน กาเบรียล เฆซุส เบียดแย่งแล้วปาดเข้ามาให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ จับจังหวะนึงแล้วบอลลั่นแต่กลายเป็นดีเข้าทาง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง วิ่งมาตะบันหายไปเลย ส่งให้ "เรือใบ" ขึ้นนำในช่วงท้ายครึ่งแรก 1-0 เท่านั้นไม่พอความซวยดูเหมือนจะถาโถมมาเข้าใส่ เชลซี ในช่วงท้ายเกม เพราะ อันเดรส คริสเตนเซ่น ก็มาเจ็บต้องส่ง เคิร์ต ซูม่า ลงมาแทน แล้วก็มาเสียจุดโทษด้วยในนาทีที่ 45+3 จากจังหวะที่ บิลลี่ กิลมอร์ ไปทำฟาล์วใส่ กาเบรียล เฆซุส แล้วก็เป็นตัวเก๋าอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ รับหน้าที่สังหาร แต่ดันยิงโชว์เก๋าเกินไป ยิงแบบ ปาเนนก้า เข้าไปกลางประตู เอดูอาร์ เมนดี้ รู้ทัน ยืนรับไว้ได้สบายๆ ทำให้จบครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ ยังนำอยู่แค่ 1-0 ครึ่งหลัง กลับมาเล่นต่อได้ไม่ถึง 10 นาทีดี กุน อเกวโร่ ก็มีโอกาสได้แก้ตัวซัดไกลนอกกรอบแต่ก็ยังติดเซฟของ เมนดี้ จากนั้น เชลซี เหมือนไปประชุมทีมในช่วงพักครึ่ง ฮึดสู้ขึ้นมาได้ดีทีเดียว มีโอกาสตามตีเสมอจากทั้ง ติโม แวร์เนอร์ และ คริสเตียน พูลิซิช แต่ก็แค่เฉี่ยวๆ ก่อนที่จะมาทำได้สำเร็จตีเสมอเป็น 1-1 หลังจากบดอยู่นาน จากจังหวะที่ แมนฯ ซิตี้ พลาดเอง เสียบอลกลางสนามโดนสวนกลับ แล้วจบด้วยการยิงของ ฮาคิม ซีเย็ค บอลพุ่งสวยเสียบเสาเข้าไป ในนาทีที่ 62 พอเสมอปุ๊ป เชลซี ก็เหมือนได้ใจยังคงทำเกมรุกบุกเข้าใส่แต่มันก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งก็สามารถส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้อีกถึง 2 ครั้งจาก ติโม แวร์เนอร์ และ คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย ทว่าก็ถูกจับล้ำหน้าทั้งหมด จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายเกมนาทีที่ 90+2 ความหวังในการคว้าแชมป์ในเกมนี้ของ แมนฯ ซิตี้ ก็มลายหายไป เพราะมาโดนจังหวะนรก โอดอย แทงทะลุช่องให้ แวร์เนอร์ ปาดเข้ากลางวางมาให้ มาร์กอส อลอนโซ่ วิ่งเข้ามาซัดไม่มีเหลือ เชลซี แซงนำเป็น 2-1 แล้วก็จบเกมลงไปด้วยสกอร์นี้ ซึ่งพอผลจบลงแบบนี้ ต้องบอกว่ายิ่งทำให้การลุ้นท้อปโฟร์ยิ่งสนุกเพราะไม่มีใครสะดุดเลย ลิเวอร์พูล ที่แข่งทีหลังก็สามารถเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ 2-0 ฉะนั้นช่วงโค้งสุดท้ายนี้คงต้องแข่งแย่งชิงอันดับพยายามขยับมาติดท้อปโฟร์กันอย่างเมามันส์ ส่วน แมนฯ ซิตี้ ก็คงไม่พลาดแชมป์แล้วหละ แค่รอฉลองไปอีกไม่กี่วันก็เท่านั้นเอง 

ที่สำคัญความพ่ายแพ้ในนัดนี้ก็น่าจะทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้เห็นอะไรในแท็กติกของ โทมัส ทูเคิล ในวันนี้ที่เอาชนะเขาได้อีกครั้ง เพื่อเอาไปปรับแก้สำหรับการลงสนามในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สิ้นเดือนนี้ 

 

ชิน ชินพัฒน์

logoline