logo-heading

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับนัดชิงชนะเลิศศึก เอฟเอ คัพ อังกฤษ ประจำฤดูกาลนี้ระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี ซึ่งรูปเกมก็ค่อนข้างยืดเยื้อน่าเบื่อตามคาด ทว่าสุดท้ายเราก็ได้ผู้ชนะใน 90 นาทีแล้วก็เป็น "จิ้งจอกสยาม" ที่สามารถเอาชนะไปได้สำเร็จ 1-0 ประตู เป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ซึ่งเกมนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันเลย

  เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย ถ้าว่ากันตามตรง เลสเตอร์ เสียเปรียบมากกว่า เชลซี ด้วย เนื่องจากมีตัวหลักอย่าง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ได้รับบาดเจ็บลงเล่นเกมนี้ไม่ไหว รวมถึงพวกตัวสำรองอีกจำนวนนึง ขณะที่ เชลซี นั้นขาดแค่ มาเตโอ โควาซิช กับ อันเดรส คริสเตนเซ่น ที่ก็ไม่ใช่ตัวหลักแบบถาวรแล้วก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ ไปดูที่การวางตัวผู้เล่นกันดีกว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือทัพ "จิ้งจอกสยาม"  ใส่แนวรุกมาแบบจัดเต็มชนิดไม่ได้กลัว เชลซี เลยมีทั้ง เจมี่ วาร์ดี้, อโยเซ่ เปเรซ และ คิเลียชี่ อิเฮียนาโช่ ที่กำลังท้อปฟอร์ม ส่วนเกมรับ จอนนี่ อีแวนส์ ที่ก่อนเกมต้องรอเช็คฟิตก็ลงเล่นไหวมายืนเป็นตัวหลักจับคู่กับ ซากลาร์ โซยุนชู  ตัดสลับกลับมาดูที่ทางฝั่ง "สิงห์บลูส์" ของ โธมัส ทูเคิ่ล ที่ก่อนเกมมีลุ้นจะคว้าดับเบิ้ลแชมป์กันบ้าง ในตำแหน่งผู้รักษาประตูก็รักษาคำพูดให้ เกปา มือ 2 ลงเฝ้าเสาแทน เอดูอาร์ เมนดี้ แผงหลังก็มี ติอาโก้ ซิลวา เป็นพี่ใหญ่ กองกลางวาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ จอร์จินโญ่ ตัวรุกใช้ เมสัน เมาท์ , ฮาคิม ซิเย็ค และ ติโม แวร์เนอร์ โดยก่อนที่เกมนี้จะเริ่มหลายฝ่ายมองว่า เชลซี ที่แม้ว่าถ้าดูอันดับตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก จะอยู่ต่ำกว่า เลสเตอร์ ทว่าก็ถูกยกให้ดูเหนือกว่า เนื่องด้วยฟอร์มการเล่นในระยะหลังนับตั้งแต่ ทูเคิ่ล เข้ามาคุมทีม แต่พอเล่นจริงๆ "จิ้งจอกสยาม" ของ บีร็อด ที่ประกาศตั้งแต่ก่อนเกมแล้วว่าอยากจะคว้าแชมป์นี้เพื่อ คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้ล่วงลับ ก็สู้ได้อย่างสูสี แม้จะครองบอลได้น้อยกว่าในครึ่งแรก แต่ก็ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำจนเยอะเกินไป ปล่อยให้ เชลซี หลุดมายิงก็จริงแต่ก็ยังไม่ตรงกรอบ  สุดท้ายหมดครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 0-0 ประตู ชนิดที่ เชลซี ยิงไม่ตรงกรอบเลยแม้แต่ลูกเดียว ทว่าเข้าสู่ครึ่งหลังได้ไม่นาน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ก็ได้เซฟครั้งแรกของเกมนี้ จากจังหวะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เปิดบอลย้อนมาให้ มาร์กอส อลอนโซ่ โขกไปเข้ามือของ ชไมเคิ่ล เกมดูท่าว่า เชลซี จะดีกว่าเล็กน้อยคล้ายกับครึ่งแรก แต่แล้วในนาทีที่ 63 จุดเปลี่ยนในเกมนี้ก็มาถึง เมื่อ รีช เจมส์ แบ็คขวา เชลซี พลาดท่าจ่ายไปติด อโยเซ่ เปเรซ บอลไปเข้าทาง ลุค โทมัส ส่งต่อให้ ยูริ เตเลม็องส์ กองกลางวิ่งเข้ามาวางเท้ายิงไกลเข้าประตูไปแบบโคตรสวย ส่งให้ "จิ้งจอกสยาม" ออกนำ 1-0 แถมเป็นการซัดตรงกรอบครั้งแรกในเกมนี้อีกด้วย หลังจากโดนนำ เชลซี ที่เล่นดีกว่าเล็กน้อยอยู่แล้วพยายามจะโหมทำเกมรุกบุกเข้าใส่ แต่ เลสเตอร์ เองก็ถอยไปตั้งรับเยอะแล้วรอสวน ซึ่งก็เกือบจะโดนลงโทษตามตีเสมออยู่ด้วยตอนนาทีที่ 78 ก็องเต้ เปิดบอลมาให้ เบน ชิลเวลล์ ตัวสำรอง ทะยานขึ้นโหม่ง บอลเหมือนจะเข้าอยู่แล้วแต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ก็ยังพุ่งปัดเอาไว้ได้ รอดตายจากการโดนตีเสมอไปหวุดหวิด เท่านั้นไม่พออีก 9 นาทีถัดมา เลสเตอร์ น่าโดนโคตรๆ หนนี้ เมสัน เมาท์ เก็บบอลจังหวะขลุกขลิกในกรอบเขตโทษได้ ก่อนจะวิ่งมาตะบันเต็มตีนบอลพุ่งแรงโคตรๆ มองเผินๆ ไม่น่าเหลือ แต่เหลือเชื่อ แคสเปอร์ สามารถพุ่งไปปัดทิ้งได้ซะอย่างงั้น เท่านั้นไม่พออีก 2 นาทีต่อมาแฟนสิงห์ยิ่งเจ็บใจเข้าไปใหญ่ เพราะอุตส่าห์ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้แล้วจากการทำเข้าประตูตัวเองของ เวสต์ มอร์แกน ทว่าพอเช็ค VAR มันดันล้ำหน้าไปซะก่อนชวดได้ประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกม แล้วเวลาที่เหลือแม้ว่าจะพยายามเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เป็นผล ในที่สุด เลสเตอร์ ซิตี้ ก็คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร สมใจ บีร็อด และเหล่านักเตะที่อยากอุทิศให้ คุณวิชัย ที่เสียชีวิตไปจากอุบัติเหต เฮลิคอปเตอร์ตก  ส่วนทางฝั่ง เชลซี ปีนี้ก็ยังไม่มือเปล่านะ ยังมีลุ้นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ โดยต้องเจอกับเจ้าของแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ คาราบาว คัพ ในฤดูกาลนี้อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ก็ต้องบอกว่าจากสภาพในตอนนี้ก็ต้องฟื้นฟูจิตใจกันครั้งใหญ่เลยทีเดียวสำหรับ โทมัส ทูเคิล เพราะว่าไม่งั้นมีแววจะมือเปล่าสูงเลยทีเดียว เพราะว่าเกมกับ ซิตี้ มันยากกว่าเกมนัดนี้หลายเท่านัก   

ชิน ชินพัฒน์ 

logoline