logo-heading

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ แมนฯ ซิตี้ กับ เชลซี 2 ทีมจากอังกฤษ ต้องมาดวลกันเอง แล้วก็เป็น "สิงห์บลูส์" ที่ถือว่าพลิกล็อคเล็กๆ ทำได้ดีกว่าเอาชนะ "เรือใบสีฟ้า" ไปได้ 1-0 ประตู ด้วยรูปเกมที่แลกกันได้สนุกในครึ่งแรก ก่อนที่ เชลซี จะโชว์เกมรับอันเหนียวแน่นในครึ่งหลัง ซึ่งเกมนี้มีอะไรน่าสนใจกันบ้างไปดูกันเลย

  เริ่มต้นที่การจัดทีม แมนฯ ซิตี้ เกมนี้มาเต็ม ไม่มีตัวเจ็บไม่มีตัวแบน ได้แชมป์ลีกมาแล้วนัดสุดท้ายของ พรีเมียร์ลีก เล่นสบายๆ เกมนี้จัดหนัก รูเบน ดิอาส ยืนคู่กับ จอห์น สโตนส์ ในเกมรับขนาบข้างด้วย ไค วอล์คเกอร์ส กับ ซินเชนโก้ กองกลางวาง อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ ฟิล โฟเด้น แนวรุกฟอลส์ไนน์ใช้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ริยาด มาห์เรซ และ เควิน เดอ บรอยน์ ขณะที่ทางฝั่ง เชลซี ของ โทมัส ทูเคิ่ล ก็เข็น เอดูอาร์ เมนดี้ ลงเฝ้าเสา แล้วก็เอา เอ็นโกล่ ก็องเต้ มายืนเป็นมิดฟิลด์ ทั้งที่ก่อนเกมมีข่าวว่าไม่ค่อยฟิต แต่นัดชิงแบบนี้ถ้าพอลงไหวก็ต้องเอาลงแล้วก็ทำผลงานได้ดีทั้งคู่ซะด้วย ส่วนแนวรุกตัวความหวังก็ฝากไว้ที่ ไค ฮาแวร์ตซ์, เมสัน เมาท์ และ ติโม แวร์เนอร์  เริ่มเกมมาจากที่หลายฝ่ายมองว่า แมนฯ ซิตี้ น่าจะเป็นทีมที่ดีกว่าทว่ามันไม่ใช่ เชลซี ดันสู้ได้ดีกว่าที่คิด แถมได้ทักทายก่อนตั้งแต่นาทีที่ 3 ติโม แวร์เนอร์ หลุดไปทางขวาก่อนจะเปิดย้ายเข้ามาให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ แหวกไปล้มตัวยิงเข้ามือ เอแดร์ซอน จากนั้นนาทีที่ 8 แมนฯ ซิตี้ ก็ตอบโต้บ้าง เอแดร์ซอน นายด่าน "เรือใบ" วางบอลยาวจากหน้ากรอบประตูตัวเองยาวมาให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เกี่ยวบอลลงในเขตโทษ แต่ว่าสุดท้ายมุมยิงเหลือน้อยเลยตอกส้นยิงไปติด เอดูอาร์ เมนดี้ ปัดทิ้งออกไปได้ เกมยังแลกกันสนุกนาทีที่ 13 "สิงห์บลูส์" มีโอกาสอีกครั้ง เมสัน เมาท์ หลุดไปทางซ้ายก่อนจะย้ายเข้ามาให้ แวร์เนอร์ ซัดไปติดเซฟ เอแดร์ซอน และนาทีต่อมา แวร์เนอร์ ก็ได้ซัดอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ก็หลุดกรอบออกไปเองอีก นาทีที่ 28 "เรือใบสีฟ้า" ก็มาบ้าง เควิน เดอ บรอยน์ หลุดไปทางซ้ายแล้วจ่ายบอลมาให้ ฟิล โฟเด้น เกี่ยวบอลมาซัดด้วยซ้าย แต่ต้องชม อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ที่วิ่งมาบล็อกเอาไว้ได้ทัน บอลเลยลอยเข้ามือของ เมนดี้ แบบสบายบรื๊อสะดือจ๋า นาทีที่ 39 เชลซี เจอปัญหาใหญ่ เมื่อ ติอาโก้ ซิลวา แนวรับจอมเก๋าได้รับบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหว ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไปแล้วส่ง อันเเดรียส คริสเตนเซ่น ลงมาแทน แฟนๆ "สิงห์บลูส์" ถึงกับถอนหายใจเพราะขาดแนวรับตัวหลักไปตั้งแต่ยังไม่ถึง 40 นาทีในเกมแบบนี้ ทว่า 2 นาทีถัดมา แฟนๆ เชลซี ก็ได้เฮซะงั้น เพราะยิงขึ้นนำ แมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จ จากจังหวะที่ เมสัน เมาท์ แทงทะลุช่องให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ หลุดกับดักล้ำหน้าผ่าเข้ามายิงไปติดเซฟ เอแดร์ซอน แต่บอลยังกระดอนมาเข้าทาง ฮาแวร์ตซ์ ได้ซัดอีกครั้งหน้าปากประตูโล่งๆ ไม่เหลือซากส่ง "สิงห์บลูส์" ขึ้นนำก่อน 1-0 แล้วก็จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้ เริ่มเกมมาในครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ ที่เป็นฝ่ายตามหลังพยายามจะโหมบุกอย่างหนักหวังจะทวงประตูคืนให้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เชลซี แพ็คเกมรับกันได้เหนียวแน่นหนึบตามสไตล์ของ ทูเคิ่ล จริงๆ แล้วนาทีที่ 55 "เรือใบสีฟ้า" ก็ต้องมาเสียแนวรุกตัวเก่งอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ อีก เพราะโดน รูดิเกอร์ โดดมาปะทะตรงศรีษะเล่นต่อไม่ไหวส่งเอา กาเบรียล เฆซุส กองหน้าธรรมชาติลงมาเล่นแทน แต่การเปลี่ยนเอา เฆซุส ที่เป็นหัวหอกธรรมชาติลงมา ก็ไม่ได้ทำให้ แมนฯ ซิตี้ มีดีอะไรขึ้นมา แถมกลายเป็นเกมตื้อเกมตันมากขึ้นอีกต่างหาก เวลาที่เหลือ เชลซี ขันเกมรับหนักแน่นแล้วรอสวน ส่วน แมนฯ ซิตี้ ก็พยายามจะโยนบอลเข้ามาเจาะเกมรับของ "สิงห์บลูส์" แต่ก็หาจังหวะจบแบบเจ๋งๆ ไม่ได้เลย สุดท้ายจบ 90 นาที ความพยายามของ แมนฯ ซิตี้ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ไม่เป็นผล จบเกม เชลซี หักปากกาเซียนคว้าแชมป์ยุโรปไปครองได้สำเร็จ ผลออกมาแบบนี้ก็ทำให้แฟนๆ แมนฯ ซิตี้ ที่หวังจะครอง "ทริปเปิ้ล แชมป์" ฝันค้างรวมถึงพังทลายความตั้งใจของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ด้วย ที่แม้ว่าจะเป็นโค้ชที่เก่งแค่ไหนแต่นับตั้งแต่ออกจาก บาร์ซ่า ก็ยังพาทีมเป็นแชมป์ยุโรปไม่ได้สักที ส่วนแชมป์นี้ก็เป็นแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร เชลซี หลังทำได้ครั้งแรกในปี 2012 แล้วก็ลบฝันร้ายของ โทมัส ทูเคิ่ล ที่พา เปแอสเช เข้าชิงเมื่อปีที่แล้ว แล้วพลาดท่าแพ้ บาเยิร์น มิวนิค ไปอีกด้วย ยินดีด้วยครับ "สิงห์บลูส์"  

ชิน ชินพัฒน์

logoline