logo-heading

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับรอบรองชนะเลิศศึกยูโร 2020 คู่แรก ในที่สุดเราก็ได้ทีมที่เข้าไปยืนรอชิงแล้วนั่นก็คือ อิตาลี ที่เอาชนะการดวลจุดโทษผ่าน สเปน มาได้ 4-2 ประตู ชนิดที่รูปเกมใน 120 นาทีนั้นไม่ได้เหนือกว่าเลย แถมเป็นรองพอสมควรซะด้วย ซึ่งเกมนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย

  เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย นัดนี้ อิตาลี ที่ถือว่ามาดีสุดๆ ในทัวร์นาเม้นท์นี้ โรแบร์โต้ มันชินี่ เฮดโค้ชของพวกเขายังคงวางหมากมาในระบบเก่ง 4-3-3 เน้นทีมเวิร์คไม่เน้นซูเปอร์สตาร์ จีโจ้ ดอนนารุมม่า เฝ้าเสา เซ็นเตอร์ใช้ 2 ผู้เฒ่าเก๋าเกม โบนุชชี่ คู่ คิเอลลินี่ แต่แบ็กซ้ายเกมนี้ขาด เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า แบ็กจอมบุกที่เจ็บ ต้องให้ เอแมร์ซอน ลงทำหน้าที่แทน กองกลางวาง จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ และ นิโกโล่ บาเรลล่า 3 แนวรุกเป็น ชิโร่ อิมโมบิเล่, ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ และ เฟเดริโก เคียซ่า ขณะที่ทางฝั่ง สเปน ของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ดูค่อนข้างกระท่อนกระแท่นกว่าจะผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศได้ นัดนี้ตัดสินใจใช้แผน 4-3-3 แบบ ฟอลส์ไนน์ ไร้กองหน้าตัวเป้าอาชีพ โดยมี อูไน ซิม่อน ประจำการในตำแหน่งผู้รักษาประตู เซ็นเตอร์ใช้ อายเมริค ลาปอร์กต์ คู่กับ เอริค การ์เซีย ขนาบข้างด้วย จอร์ดี้ อัลบา กับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กองกลางวาง บุสเก็ตส์, โกเก้ และ เปดรี้ 3 ตัวรุกใช้ ดานี โอลโม่, เฟอร์ราน ตอร์เรส และ มิเกล โอยาร์ซาบาล เริ่มต้นเกมมาได้แค่ 3 นาที วัยรุ่นอิตาลี ก็ได้ทักทายก่อนเลย จากจังหวะที่ เอแมร์ซอน ไหลบอลให้ บาเรลล่า ควบขึ้นมาแตะหนี อูไน ซิม่อน ก่อนจะปั่นโค้งบอลไปชนเสา แถมโดนจับล้ำหน้าไปก่อนแล้วด้วย แต่ก็ถือเป็นการทักทายที่อันตรายทีเดียว อย่างไรก็ตามหลังผ่านไป 10 นาที สเปน เริ่มตั้งเกมได้ และกลายเป็นฝ่ายบุกกดดันหาจังหวะเข้าทำใส่ อิตาลี ได้มากกว่าซะงั้น นาทีที่ 11 เปดรี้ แทงทะลุช่องอย่างสวย แต่ โอยาร์ซาบาล เกี่ยวบอลไม่ดี โดน เอแมร์ซอน ดักไว้ได้สุดท้ายเลยอดยิง นาทีที่ 14 อิตาลี พลาดเสียบอลกลางสนาม โดน กระทิงดุ ตัดได้ แฟร์ราน ตอร์เรส ลากแหวกขึ้นมาโยกหนี จอร์จินโญ่ แล้วกดนอกกรอบ แต่บอลพุ่งเรียดออกหลังไป นาทีที่ 25 สเปน ยังคงบุกมาได้ลุ้น และพลาดโอกาสขึ้นนำอีกครั้งจากจังหวะที่ ดานี่ โอลโม่ ได้ยิง 2 จังหวะซ้อน ทีแรกติดบล็อค โบนุชชี่ แต่บอลยังกระดอนกลับมาเข้าทางเจ้าตัวได้ยิงอีกครั้งแต่ก็ติดเซฟ จีโจ้ ดอนนารุมม่า ยังครับยังไม่หมด นาทีที่ 32 โอลโม่ ได้ส่องอีกครั้ง แต่คราวนี้ก็ลอยข้ามคาน ต่อด้วยนาทีที่ 39 โอยาร์ซาบาล ก็ไม่ต่างทิ้งโอกาสยิงทิ้งข้ามคานออกไป บุกมาจนเหนื่อย ช่วงท้ายครึ่งแรก กระทิงดุ เลยเริ่มแผ่วหน่อยแล้วก็เผลอปล่อยให้ อิตาลี ได้ส่อง และเกือบโดนเลยด้วย จากจังหวะที่ โบนุชชี่ วางยาวมาให้ อินซินเญ่ จี้เข้าเขตโทษก่อนตบบอลต่อให้ เอแมร์ซอน ที่สอดเข้ามายิง แต่บอลพุ่งเฉี่ยวคานออกหลังไป ทำให้จบครึ่งแรกแบบยังทำอะไรกันไม่ได้ ด้วยรูปเกมที่ สเปน ดูเหนือกว่าอยู่ไม่น้อย เริ่มครึ่งหลังมาต้องชมว่า มันโช่ แก้เกมมาได้ดี เกมที่ดูเป็นรองในครึ่งแรกก็สูสีขึ้น และได้โอกาสทักทายก่อนเลย จากบอลวางยาว อิมโมบิลเล่ เบียดเอาชนะ ลาปอร์กต์ ได้สำเร็จ ก่อนจะล้มตัวยิงแต่โดนไม่ดีบอลลอยออกหลังไป แต่นาทีที่ 51 กระทิงดุ ก็ตอบโต้ทันควันเหมือนกัน จากจังหวะสวนกลับเร็ว โอยาร์ซาบาล ลากจี้เข้ามาในเขตโทษ ก่อนไหลกลับมาให้ บุสเก็ตส์ วิ่งมาตะบันด้วยขวาบอลพุ่งข้ามคานไปแค่นิดเดียว จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายยังคงแรกกันสนุก เคียซ่า ได้ลากมายิงแต่ก็ติดเซฟ อูไน ซิม่อน ส่วน สเปน ก็ได้ โอยาร์ซาบาล ยิงนอกกรอบ แต่บอลไร้น้ำหนัก ดอนนารุมม่า รับสบาย จนกระทั่งนาทีที่ 60 ประตูแรกของเกมนี้ก็เกิดขึ้น อายเมริค ลาปอร์กต์ พยายามสกัดบอลจาก อิมโมบิลเล่ แต่ดันไปเข้าทาง เคียซ่า แต่งบอลหาช่องก่อนปั่นด้วยขวาบอลโค้งเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม อัซซูรี่ ขึ้นนำไปก่อน 1-0 ประตู หลังผ่าน 1 ชั่วโมงแรกของเกม หลังโดนนำ สเปน ก็พยายามเร่งเครื่องบุกอีกครั้ง และน่าจะได้ประตูตีเสมออย่างรวดเร็วในนาทีที่ 64 จากจังหวะที่ โกเก้ เปิดบอลไปเสาไกลให้ โอยาร์ซาบาล หลุดกับดักล้ำหน้า ลอยมาตั้งหัวโขกโล่งๆ ในระยะแค่ 5 หลา แต่ดันขวิดพลาดจั่วลมซะงั้น บอลเลยลอยผ่านออกไป พลาดประตูตีเสมออย่างเหลือเชื่อ นาทีที่ 67 ดานี โอลโม่ ได้ยิงไกลแต่บอลก็หลุดกรอบออกไปเหมือนเดิม นาทีถัดมา โดเมนิโก้ แบร์ราดี้ ตัวสำรองของ อิตาลี ได้เข้าชาร์จแต่ก็ติดเซฟของ อูไน ซิม่อน จนกระทั่งนาทีที่ 80 กระทิงดุ ก็กู้ประตูคืนได้สำเร็จ จากจังหวะต่อบอลกันอย่างสุดสวยระหว่าง โอลโม่ กับ อัลบาโร่ โมราต้า ตัวสำรอง หลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษก่อนจะสลัดสากกะเบือทิ้งยิงผ่านมือ ดอนนารุมม่า เข้าประตูไปกลายเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ให้กับ สเปน สิบนาทีสุดท้าย สเปน เหมือนเริ่มได้ใจหวังจะเผด็จศึก อัซซูรี่ ให้ได้ใน 90 นาที แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ สุดท้ายไม่มีไรเพิ่ม จบ 90 นาที เสมอกันไป 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ สเปน ยังคงทำได้ดี มีโอกาสแซงขึ้นนำในนาทีที่ 97 จากจังหวะที่ โอลโม่ เปิดฟรีคิกมาลุ้นในเขตโทษ น้องดอน ปัดออกมาได้ แต่บอลยังเข้าทาง โมราต้า ยิงสวนแต่ติดบล็อคออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย ต่อเนื่องเลยนาทีที่ 102 สเปน มีโอกาสดีอีกแล้ว โมเรโน่ เปิดบอลเข้ากลาง ดอนนารุมม่า ชกมาเข้าทาง ญอเรนเต้ วิ่งมายิงซ้ำแต่ก็ยังติดบล็อคของ โบนุชชี่ อีกอยู่ดี จนนาทีที่ 110 อิตาลี ก็ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ จากฝีตีนของ เบร์ราดี้ ตัวสำรองแต่ทว่าถูกจับล้ำหน้าไปก่อนแล้ว สุดท้ายจบ 120 นาทีไม่มีประตูเพิ่มต้องไปยิงจุดโทษตัดสินหาทีมที่จะลิ่วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ  และแล้วสุดท้ายก็เป็น อิตาลี ที่แม่นเป้ากว่า ได้ จอร์จินโญ่ กระโดดยิงปิดท้าย ส่ง อัซซูรี่ เขี่ย กระทิงดุ ตกรอบไปในการดวลจุดโทษ 4-2 ประตู ลิ่วผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปรอเจอกับผู้ชนะระหว่าง อังกฤษ กับ เดนมาร์ก ที่จะเตะกันในคืนนี้ และนี่ก็เป็นการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศทัวร์นาเม้นท์ระดับเมเจอร์ทั้งในศึก ยูโร และ ฟุตบอลโลก ได้เป็นครั้งที่ 10 เป็นรองแค่ เยอรมัน เพียงชาติเดียวที่เข้าชิงไป 14 ครั้ง

ต้องดูกันล่ะครับว่า พลพรรคอัซซูรี่ จะได้เฮกับตำแหน่งแชมป์ ยูโร เป็นครั้งแรกของตัวเองในรอบ 53 ปี หรือไม่ แล้วใครจะเป็นคู่แข่งของพวกเขา คืนนี้รู้กัน 

 

ชิน ชินพัฒน์

logoline