logo-heading

ฟอร์มร้อนแรงเกินห้ามใจจริงๆสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยล่าสุดเปิดบ้านเอาชนะ เชลซี ไปได้ 1-0 ถึงแม้สกอร์จะเฉือนกันแบบหวิวๆ แต่รายละเอียดของเกม เป็นทางฝั่ง เรือใบสีฟ้า ที่ปูพรมบุกใส่ สิงห์บลูส์ แทบจะทั้งเกม ทำได้ยอดเยี่ยมทั้งเรื่องเพรสซิ่ง หรือ โดนโต้กลับมา แนวรับก็โชว์ฟอร์มอย่างไร้ที่ติ

ก่อนสุดท้ายจะเป็น เควิน เดอ บรอยน์ ที่โชว์ความเฉียบคม ยิงประตูชัยให้กับ แมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จ ทำให้ขึ้นนำจ่าฝูง แบบทิ้งคู่แข่งห่างเป็นเลข 2 หลัก เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเกมนี้มีหลายๆอย่างให้พูดถึงกัน เอาเป็นว่าไปติดตามกันเลยครับ

- พลังแฝงของ เควิน เดอ บรอยน์

"ถ้า เชลซี ซื้อตัวผมมาในฐานะซูเปอร์สตาร์ ผมคงได้ลงเล่นมากกว่านี้แล้วล่ะ" ประโยคเชิงตัดพ้อจากปากของ เควิน เดอ บรอยน์ เมื่อครั้งที่ตนเองอยู่ สิงห์บลูส์ และ ไม่ได้โอกาสลงสนาม จนต้องอพยพไปอยู่กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ก่อนจะมาโด่งดังเป็นพลุแตกกับ โวลฟ์สบวร์ก และ ย้ายมาเป็น เวิลด์ คลาส กับ แมนฯ ซิตี้ สร้างความสำเร็จมากมาย เชื่อเหลือเกินว่าลึกๆภายในใจ เดอ บรอยน์ ยังสุมไฟแค้นที่เขาไม่ได้รับโอกาสในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยลงเล่นไปแค่ 9 นัด ทุกรายการ ทำให้ทุกครั้งที่เพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยี่ยม ต้องเผชิญหน้ากับ เชลซี มักจะมีพลังแฝงออกมาใช้ให้เห็นกันอยู่เสมอ เหมือนอย่างเกมล่าสุดที่ แมนฯ ซิตี้ เฉือนเอาชนะไป 1-0 .. เคดีบี ก็โชว์สกิลความแข็งแกร่งเบียดเอาชนะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มาได้ ก่อนจะแต่งเข้าขวาเพื่อเปิดช่อง และ บรรจงปั่นเสียบเสาเข้าไปอย่างสวยงาม โดย 3 ครั้งที่ เควิน เดอ บรอยน์ เจอกับ สิงห์บลูส์ เขากดไปแล้ว 5 ประตู เรียกว่ายิงให้รู้ว่า เชลซี คิดผิด ที่ปล่อยเขาออกไป

- ว่าที่แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยที่ 6

สวดมนต์ก็แล้ว จุดธุปก็แล้ว ก็ยังแช่งให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ไม่ได้เลย ตอนนี้พวกเขาชนะในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาแล้ว 11 นัดรวดในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่ง 2 เกมหลังสุด คือการปราบเอาชนะทั้ง อาร์เซน่อล และ เชลซี 2 ทีมยักษ์ใหญ่จากรุงลอนดอน มาได้ เท่ากับว่า เรือใบสีฟ้า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นำเป็นจ่าฝูง ด้วยการเก็บไปแล้ว 56 คะแนน จาก 22 นัด ทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล รองจ่าฝูงถึง 10 คะแนน และ ต่อให้ หงส์แดง จะแข่งน้อยกว่า 1 นัด โดยสมมุติว่าเก็บ 3 คะแนนได้นัดหน้า ก็จะยังตามหลัง 8 แต้ม อยู่ดี นับเป็นอะไรที่ห่างไกลมาก เพราะไม่รู้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะพลาดตอนไหน และ จะพลาดแบบติดๆกันเมื่อไหร่ ถึงขนาดที่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอล เชลซี, ลิเวอร์พูล หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในโลกโซเชี่ยล โดยเฉพาะ เฟซบุ๊ค ต่างก็ยอมศิโรราบมอบแชมป์ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเลย ให้เริ่มกันใหม่ซีซั่นหน้า เพราะฟอร์มแบบนี้ใครก็หยุดไม่อยู่แล้วจริงๆ

- เชลซี เจอเกม เพรสซิ่ง จนตั้งเกมไม่ได้

ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้ เชลซี จะสามารถแกะเพรสซิ่งในแดนหลังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ แต่กระนั้นพวกเขาแทบไม่มีเวลาคิด ไม่มีเวลาได้หายใจเลย พอจับบอลปุ๊บ ต้องจ่ายบอลปั๊บ หลายๆครั้งต้องสาดบอลโด่งขึ้นหน้า เพื่อเอาบอลให้พ้นๆไปก่อน และไปซื้อให้พวก โรเมลู ลูกากู หรือ คริสเตียน พูลิซิช คอยเก็บบอล แต่ส่วนใหญ่โดนดักกินไว้ได้หมด อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า เชลซี ไม่มีโอกาสเข้าทำเลย อย่างน้อยๆที่เห็นก็คือ 2 ครั้ง ในครึ่งแรกคือช็อตที่ ลูกากู ได้เลี้ยงกินพื้นที่ตรงหน้ากรอบเขตโทษ แต่ก็จ่ายให้เพื่อนแรงไป ส่วนอีกจังหวะคือต้นครึ่งหลัง เป็นโอกาสทองของ พี่ตู้ แต่ก็ยิงไปติดเซฟ เอแดร์ซอน ไว้ได้อีก ซึ่งนั่นแหละครับ เมื่อทำเขาไม่ได้ สุดท้ายก็โดนย้อนมาลงโทษ ซึ่งการเพรสซิ่งของ แมนฯ ซิตี้ นั้น ทำให้ลูกทีม โธมัส ทูเคิ่ล ไม่สามารถเล่นในสไตล์ตัวเองได้เลย วิงแบ็คทั้ง 2 ฝั่ง เติมขึ้นด้านหน้าไม่ได้ ตรงกลางก็เสียบอลบ่อย ส่วน 3 ประสานแดนหน้า ลูกากู, พูลิซิช และ ฮาคิม ซิเย็ค ยังขาดความเข้าใจกันเยอะมาก จากการแพ้ในวันนี้ มันจึงได้เห็นบาดแผลที่เกิดขึ้น แต่คงมีไม่กี่ทีมหรอกครับ ที่กดจน เชลซี ไปไม่เป็น

- เซ็นเตอร์แบ็ก แมนฯ ซิตี้ แข็งแกร่งทุกคน

ถ้าพูดถึงตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชื่อว่าหลายคนจะต้องนึกถึง รูเบน ดิอาส เป็นคนแรก เพราะนี่คือนักเตะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซื้่อเข้ามา และ สามารถยกระดับทีมได้ทันที แต่กระนั้นในแมตช์เฉือน เชลซี 1-0 เป๊ป ตัดสินใจดรอป ดิอาส พร้อมกับให้โอกาส อายเมริค ลาปอร์ต ยืนจับคู่กับ จอห์น สโตนส์ จริงๆไม่ใช่เกมแรกที่ เป๊ป เลือกคู่นี้มาแล้ว 2 นัด คือนัดเอาถล่ม เอฟเวอร์ตัน 3-0 และ ตบ เบิร์นลี่ย์ นิ่มๆ 2-0 จะเห็นได้ว่า คลีนชีต ทั้ง 2 เกม ดังนั้นจึงขอลองในเกมใหญ่ว่าคู่นี้จะรับมือไหวหรือไม่ ถ้าหากไม่มี รูเบน ดิอาส คอยประคอง ปรากฎว่า ลาปอร์ต กับ สโตนส์ ทำผลงานได้อย่างไร้ที่ติจริงๆ เพราะในกรอบเขตโทษ พวกเขาทั้ง 2 คน สามารถเอาชนะผู้เล่น เชลซี ได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะครอสมารูปแบบไหน หรือ ต่อให้มี โรเมลู ลูกากู กองหน้าร่างยักษ์ คอยปะทะอยู่ก็ตาม แต่สถิติบ่งชัดว่า ทั้ง ลาปอร์ต และ สโตนส์ เอาปะทะคู่แข่งชนะได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีเสียท่าเลยสักครั้ง ไม่แน่ว่าต่อจากนี้ อาจได้เห็นการจับคู่ของ 2 คนนี้ อยู่เรื่อยๆ อย่างน้อยๆก็ได้พัก ดิอาส ไปในตัว

- เชลซี ขาดตัวหลักเริ่มส่งผล

ถึงแม้ว่า เชลซี จะมีขุมกำลังใหญ่มาก สามารถตั้งทีมจากตัวสำรองได้อีกทีมนึงเลย แต่กระนั้นในเกมที่ต้องพบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ การขาดผู้เล่นตัวหลักไปแค่ไม่กี่คน ส่งผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นมากจริงๆ โดยเฉพาะวิงแบ็กทั้ง 2 ฝั่ง ที่ต้องใช้ เซซาร์ อัซปลิกวยต้า กับ มาร์กอส อลอนโซ่ ไม่ใช่ว่า 2 คนนี้ ไม่เก่ง แต่การต้องตามประกบตัวจี๊ดๆ เจอเพรสซิ่งตลอดเวลา ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าเป็น รีซ เจมส์ กับ เบน ชิลเวลล์ คงสนุกมากกว่านี้ รวมถึงตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งซ้าย ทูเคิ่ล จำต้องใช้ มาล็อง ซาร์ ลงสนามเป็นตัวจริงนัดที่ 2 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ เพราะตัวหลักอย่าง อันเดรส คริสเตียนเซ่น ก็ไปกักตัวจากโรค โควิด-19 รวมถึง เทรโวห์ ชาโลบาห์ กองหลังดาวรุ่ง ที่กำลังพุ่งขึ้นมา ก็บาดเจ็บไปอีก ทำให้ แมนฯ ซิตี้ เลือกเจาะทางฝั่ง อลอนโซ่ กับ ซาร์ อยู่หลายหน นอกจากนี้ เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารมือ 1 ก็บินไปรับใช้ทีมชาติเซเนกัล ในศึก แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ซึ่งต่อให้จะมี เกปาร์ อาร์ริซาบาลาก้า เป็นแบ็คอัพ แต่เชื่อเถอะว่าแฟนบอลคงอุ่นใจมากกว่าหากมี เมนดี้ เฝ้าเสา จริงๆแล้วไม่ได้เอาเหตุผลเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างความพ่ายแพ้ แต่ในเมื่อทรัพยากรแดนหลังมีไม่เยอะ มันก็เลยส่งผลกระทบอย่างที่เห็น และ ที่สำคัญคือต้องให้เครดิตกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ทำได้ดีมากจริงๆ

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline