logo-heading

กลายเป็นปรากฏการณ์ไปเสียแล้วสำหรับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกยอดดาวยิงของ ลิเวอร์พูล กับการระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดในฤดูกาลนี้โดยเฉพาะเรื่องการถล่มประตูแบบกระจุยกระจายที่ไม่น้อยหน้าไปกว่า ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เลยสักนิด

อย่างไรก็ตามกว่า โม ซาลาห์ จะก้าวมาถึงจุดๆ นี้ได้นั้นเขาต้องผ่านเส้นทางขวากหนามอันแสนยากลำบากมามากมาย โดยเฉพาะช่วงชีวิตกับ เชลซี ซึ่งแน่นอนว่าหลายๆ ท่านคงทราบดีอยู่แล้ว่ามันเลวร้ายต่อตัวเขาขนาดไหน แต่วันนี้แหละทาง "ขอบสนาม" จะขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปและเจาะลึกช่วงเวลานั้นของ ซาลาห์ ที่รั้ว เดอะ บริดจ์ กันว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง? และมันทุกข์ทนทรมานใจอย่างไรบ้าง? ศักยภาพที่ดีเยี่ยม เชลซี ประกาศยืนยันคว้าตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จาก เอฟซี บาเซิ่ล มาร่วมทีมเมื่อวันที่ 27 มกราคม ปี 2014 ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ พร้อมกับให้เสื้อเบอร์ 15 และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สโมสรตัดสินใจขาย ฆวน มาต้า ออกไปให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่วนในดีลของ ซาลาห์ ตามจริง ลิเวอร์พูล ก็อยากได้ตัวเหมือนกันในช่วงเวลานั้น แต่สุดท้ายเป็น เชลซี ที่สามารถชนะใจ ซาลาห์ ได้ โชเซ่ มูรินโญ่ ให้สัมภาษณ์ถึง ซาลาห์ ในวันนั้นว่า "เขายังเด็ก เขามีความเร็วสูง เขาเป็นคนมีความครีเอทีฟสูง และเป็นคนที่กระตือรือร้นมากด้วย ซึ่งจากที่เราได้วิเคราะห์หลายๆ อย่างในตัวเขา ซาลาห์ เป็นคนที่เจียมตัวและถ่อมตนมากเวลาอยู่ในสนาม และเราเองก็พร้อมแล้วที่จะทำงานกับเขา พร้อมกับช่วยเหลือเขาเรื่องการปรับตัวกับชีวิตใหม่" สัญญาณแรกของปัญญา ซาลาห์ ได้เปิดตัวกับ เชลซี โดยถูกส่งลงมาเป็นสำรองในเกมที่ เชลซี ชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 3-0 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2014 เช่นเดียวกันกับนัดที่ถูกส่งมาเป็นสำรองเกมที่เสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-3 วันจากเกมๆ นั้น จนกระทั่งมาถึงเกม เอฟเอ คัพ ที่ต้องปราชัยต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-2 ทาง มูรินโญ่ ก็เริ่มตั้งคำถามถึงตัว ซาลาห์ "เขาไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลยในวันที่เจอ แมนฯ ซิตี้ เขาวิ่งอยูตลอดจริง แต่มันไม่ได้มีส่วนกับเกมเลย มันสำคัญนะที่เขาต้องก้าวไปทีละขั้น และค่อยๆ พัฒนากับปรับตัวไปทีละนิด แต่นี่มันเป็นโลกที่แตกต่าง ศักยภาพฟุตบอลที่นี่ก็แตกต่าง คุณรู้ใช้ไหมว่าการเล่นที่ เดอะ บริดจ์ มันไม่เหมือนการเล่นที่ บาเซิ่ล" "กับ บาเซิ่ล คุณเล่นยังไงคุณก็มีความสุข เพราะคุณไม่มีวันแพ้ไง แต่ในขณะที่คุณสวมเสื้อสีน้ำเงินนี้มันจะมีผู้คนจำนวน 40,000 คนที่คอยคาดหวังในตัวคุณ ทุกๆ คนต้องการการพิสูจน์ตัวเองจากคุณ ดังนั้นผมจึงคิดว่า ซาลาห์ อาจต้องใช้เวลาปรับตัวกับเกมของเรา รวมไปถึง พรีเมียร์ลีก อีกประมาณ 6 เดือน" เริ่มยิ้มออกบ้าง ซาลาห์ ไม่ได้ลงเล่นอีกเลยนับตั้งแต่เกม เอฟเอ คัพ กับ แมนฯ ซิตี้ ประมาณ 6 นัดก่อนจะได้กลับมาลงเล่น แถมยังเปิดซิงยิงประตูแรกในสีเสื้อ เชลซี ได้ด้วยในเกมที่ยำใหญ่ อาร์เซน่อล ไปแบบถล่มทลาย 6-0 ซึ่งเป็นการคุมทีมนัดที่ 1,000 ของ อาร์แซน เวนเกอร์ พอดี มูรินโญ่ ให้สัมภาษณ์ว่า "ประตูของ ซาลาห์ นั้นสำคัญต่อตัวเขามากในเรื่องสร้างความมั่นใจ เขายังเด็ก เด็กมากเลย ดังนั้นเขาจำเป็นต้องได้รับการเลี้ยงดูและสนับสนุนจากเรา การจะก้าวไปสู่จุดที่เป็นนักฟุตบอลที่มหัศจรรย์นั้นมันต้องค่อยเป็นค่อยไป" แมน ออฟ เดอะ แมตช์ 5 เมษายน 2014 ซาลาห์ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมแรกนับตั้งแต่ย้ายมาค้าแข้งให้ เชลซี โดยเป็นนัดที่ยำใหญ่ สโต๊ค ซิตี้ 3-0 แถมนอกจากนี้เขายังเป็นผู้ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำด้วย และที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือวันนั้นคือวันที่เขาได้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ มูรินโญ่ ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมคิดว่า เชลซี เล่นกันได้ดีมากๆ เราขายผู้เล่นอย่าง มาต้า ออกไปทั้งที่เขากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพ และจากนั้นเราไปซื้อเด็กที่มาจากที่อื่น เขาเป็นผู้เล่น อียิปต์ ที่กำลังเล่นอยู่ใน สวิตเซอร์แลนด์ วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้เป็นตัวจริง และหนึ่งสิ่งที่ผมรู้สึกได้ทันทีคือการสื่อสารกับผู้คน แฟนๆ ชอบเขามาก สไตล์การเล่นของเขามันเป็นที่ถูกใจของแฟนๆ และเขาก็เป็นผู้เล่นที่เราจำเป็นต้องมี" ถูกล่ามโซ่ไว้โดย นอริช ในขณะที่ เชลซี นั้นยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์พวกเขามีคิวเปิดรัง เดอะ บริดจ์ รับการมาเยือนของ นอริช ซิตี้ ที่กำลังหนีตาย แต่สุดท้ายกลับทำได้แค่เสมอไปแบบจืดชืด 0-0 พร้อมกับเป็นการตัดโอกาสในการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปในทันที ซึ่ง ซาลาห์ ได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในกมนั้น แต่ไม่สามารถปล่อยของออกมาได้ ทาง "เดลี่ เมล" สื่อกีฬาแดนผู้ดีได้ออกมาแฉว่าตัวของ มูรินโญ่ นั้นไม่พอใจในฟอร์มของ ซาลาห์ และ เนมานย่า มาติช ในวันนั้น "เกมครึ่งแรกมันน่าเบื่อสุดๆ มันเชื่องช้า กดดันคู่แข่งก็ไม่ได้ ส่วนแดนมิดฟิลด์ก็ไม่สามารถตัดเกมคู่แข่งได้ ส่วนการผ่านบอลก็โคตรช้าเหมือนกัน" ฝันร้ายที่ นิว เมียโดว์ ซาลาห์ เป็นส่วนหนึ่งของขุนพล เชลซี ในชุดทัวร์ปรีซีซั่น และสามารถยิงประตูได้ในเกมกับ เอเอฟซี วิมเบิลดัน และ วีเทสส์ อาร์เน่ม แต่เมื่อฤดูกาลใหม่ได้เปิดฉากขึ้นเขาก็ยังมีสถานะเป็นอะไหล่สำรองของ เอแด็น อาซาร์, อังเดร ชูร์เล่, วิลเลี่ยน และ ออสการ์ อยู่ดี เกมฟุตบอล ลีก คัพ ช่วงต้นซีซั่น 2014-15 ทาง เชลซี มีคิวบุกไปเยือนทีมที่ต่ำชั้นกว่ามากอย่าง ชูร์สบิวรี่ ที่ นิว เมียโดว์ และเมื่อวัดกันปอนด์ต่อปอนด์มันดูเหมือนไม่น่าใช่งานที่ยากเท่าไหร่สำหรับพวกเขา แต่ในความเป็นจริงนั้นมันตรงกันข้ามเลย เพราะถึงแม้ท้ายที่สุด เชลซี จะเอาชนะได้ 2-1 แต่ มูรินโญ่ ไม่ปลื้มอย่างมากกับฟอร์มการเล่นของลูกทีม "ผมคาดหวังว่านักเตะจะสร้างปัญหาให้กับผมได้ ผมชอบมากเลยไอ้เรื่องของปัญหาเนี่ย แต่พวกเขากลับทำไม่ได้ ดังนั้นมันจึงง่ายมากสำหรับการจัดทีมลงเล่นในเกมวันเสาร์นี้ ถ้าเกิดคนที่ได้ลงเล่น 90 นาทีเมื่อ 2 วันก่อนทำผลงานได้ดีตามที่ผมคาดไว้มันก็คงจะสร้างปัญหาให้กับผมได้แล้ว แต่ขอโทษทีนะพวกเขาไม่สามารถสร้างปัญหาให้ผมได้เลย" เมื่อมีผู้สื่อข่าวไปถาม มูรินโญ่ ว่า นักเตะที่ฟอร์มไม่เอาไหนเลยในเกมนั้นคือ ซาลาห์ กับ ชูร์เล่ ใช่ไหม? เขาตอบไปว่า 'ใช่' ตัดสินใจแล้วว่าไปดีกว่า หลังจากเกมๆ นั้น ซาลาห์ ได้โอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงให้ เชลซี อีกแค่ 2 นัดเท่านั้น โดยเกมล่าสุดเกิดขึ้นในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่พลิกล็อคโดน แบรดฟอร์ด ปีนเกลียวตบร่วงไป 4-2 ช่วงเดือนมกราคม 2015 จนกระทั่งอีก 1 สัปดาห์ต่อไป ซาลาห์ ถูก ฟิออเรนติน่า คว้าตัวไปในรูปแบบสัญญายืมตัว ซาลาห์ ได้ลงเล่นกับ เชลซี แค่ 19 เกมเท่านั้นตลอดระยะเวลา 1 นับตั้งแต่ย้ายมาจาก บาเซิ่ล ส่วนการย้ายไปเจอชีวิตใหม่ที่ ฟิออเรนติน่า นั้น เขายิงได้ 6 ประตูจากการลงเล่น 7 เกมแรก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสัญญาณในชีวิตของ โม ซาลาห์  

-HaMuDosSantos-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline