logo-heading

สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศรายชื่อนักเตะเพื่อเตรียมอุ่นเครื่องกับ จีน ในวันที่ 2 มิ.ย.ออกมาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังลั่น....ตามคาด !!!

ไม่มีครั้งไหนหรอกครับที่จะประกาศรายชื่อนักเตะออกมาแล้วจะเป็นที่ถูกใจไปทั้งหมด หากจะให้ถูกใจทุกคนคงต้องเรียกนักเตะมาทั้งลีก การเลือกตัวผู้เล่นเป็นหน้าที่ของหัวหน้าผู้ฝึกสอนและทีมงานที่จะพิจารณากลั่นกรอง นักเตะที่ติดและไม่ติดย่อมมีเหตุผลแตกต่างกันไป “บางทีคนดูชอบ แต่โค้ชอาจไม่ชอบ” ที่สุดแล้วคนที่ต้องตัดสินใจเลือกคือโค้ช แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแฟนบอลหรือคนดูจะไม่มีสิทธิ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็น ตรงนี้ถือเป็นเรื่องปกติมากๆเลย และไม่ว่าโค้ชคนไหนย่อมต้องถูกวิพากษ์ได้ ช่วงหลังๆ “มิโล” มิโลวาน ราเยวัช ก็เริ่มถูกจับตามองและโดนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น เหตุเพระกุนซือชาวเซิร์บเรียกตัวและใช้งานนักเตะแบบ "หน้าเดิมๆ" เยอะไปหน่อย “ช้างศึก” ของ “ราเยวัช” อย่างทัวนาเมนต์ล่าสุดในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน "คิงส์ คัพ" ครั้งที่ 46 “ราเยวัช” ใช้ผู้เล่นตัวจริงและสำรองแค่ 14 คน ไม่มีปรับหรือเปลี่ยนอะไรเลย จริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับที่โค้ชจะเรียกใช้งานนักเตะที่ตัวเองคุ้นเคย ไม่งั้นคงไม่มีคำว่า “ขุนพลคู่ใจ” เพียงแต่ว่าบางทีมัน “ขัดใจ” มากไป ที่สำคัญหลายๆคนยังคิดไปทำนองเดียวกันว่าการเรียกตัวผู้เล่นติดทีมชาติควรดูที่ฟอร์มการเล่นหรือผลงานล่าสุดมากกว่าหรือเปล่า ? สำหรับรายชื่อ 26 คนที่จะเจอจีนต้องยอมรับว่าหลายคนไม่ได้ทำผลงานดีในลีก  บางรายแทบไม่ได้เล่น บางคนเป็นแค่สำรอง บางทีก็เพิ่งเล่นดีนัดเดียว แต่กลับติดทีมชาติ !!! ขณะที่บางคนลงเล่นสม่ำเสมอ ฟอร์มดีต่อเนื่องเป็นตัวหลักของสโมสรที่ทำผลงานดี แต่กลับไม่เข้าตาโค้ช ตรงนี้อาจมีเหตุผลที่ตอบแบบกำปั้นทุบดินง่ายๆ ว่า  “โค้ชคงไม่ชอบ !!!” คำว่าโค้ชชอบ โค้ชไม่ชอบ นี่เถียงกันลำบากครับ อย่างที่บอกว่าสิทธิ์ทั้งหมดอยู่ที่โค้ช แต่ที่มันควรเป็นเหตุผลมากกว่านั้นคือคำว่า  "วิธีการ" มากกว่า “ใครเล่นดีในลีกสมควรถูกเรียกติดทีมชาติ” น่าจะเป็นวิธีการที่ถูกใจของหลายๆคน รวมถึงจะเป็นการแฟร์สำหรับนักเตะหลายๆคนที่พยายามทำผลงานดีๆในลีกด้วย “ช้างศึก” ของ “ราเยวัช” อย่างการเรียกตัว สุมัญญา ปุริสาย และ ศศลักษณ์ ไหประโคน มาติดในรายชื่อ 26 คนนั้นถือว่าถูกต้องและใช่เลย ทั้ง 2 คนถือว่าโชว์ฟอร์มในลีกได้โดดเด่นมาก ตอนแรกยังลุ้นอยู่ว่าจะหลุดโผหรือเปล่า ถ้าไม่ติดเข้ามาละคงมี "ดราม่า" ชามโตเลยทีเดียว ส่วนนักเตะคนอื่นๆที่ติดโผเตะกับจีนส่วนใหญ่วิ่งเข้าวิ่งออกในทีมชาติไทยมาตลอดช่วงไม่กี่ปีนี้อยู่แล้ว หลังจากนี้อยู่ที่แต่ละคนว่าจะพิสูจน์ตัวเองว่าดีพอสำหรับทีมชาติไทยหรือเปล่า จริงๆแล้วคาดหวังว่าเกมกับจีนน่าจะเป็นโอกาสที่จะเน้นนักเตะตัวใหม่ๆบ้าง แต่เมื่อดูจากการเรียกตัวผู้เล่นแล้วคิดว่าคงจะมีไม่กี่คนที่ได้รับโอกาส “ราเยวัช” เล่นเรียกตัวหลักกลับมาหมด ผู้เล่นที่ไปค้าแข้งต่างชาติก็เรียกกลับมา ยกเว้น ธีราทร บุญมาทัน ที่ต้นสังกัดไม่ปล่อยตัวแค่รายเดียว รายของ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ น่ะหมดภารกิจที่เบลเยียมแล้วก็ไม่มีปัญหา แต่ ธีรศิลป์ แดงดา กับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ แม้ว่าต้นสังกัดจะโอเคแต่จริงๆ แล้วไม่ต้องเรียกมาเหนื่อยก็ได้ ทั้ง “มุ้ย” และ “เจ” ไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วครับ นี่คือตัวหลักของทีมชาติไทยอยู่แล้ว โอกาสแบบนี้ควรจะทดสอบพวกหน้าใหม่ที่จะเป็นอะไหล่มากกว่า   “ช้างศึก” ของ “ราเยวัช” อย่าลืมว่า "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018" ช่วงปลายปีนี้นักเตะที่อยู่ "เจลีก" จะมาเล่นไม่ได้  เจลีกจะปิดฤดูกาลวันที่ 1 ธ.ค. นั่นหมายความว่าเป็นรองรองชนะเลิศไปแล้ว ทีมชาติไทยควรทำการบ้านสำหรับการที่จะไม่มีตัวจาก “เจลีก” ใน “ซูซูกิคัพ” ตั้งแต่เกมกับจีน เพราะหลังจากนั้นจะมี “ฟีฟ่าเดย์” อีกแค่ 1 นัดก่อนชิงแชมป์อาเซียน อย่าไปคิดว่า “ซูซูกิคัพ” เป็นเกมระดับอาเซียนไม่สำคัญ อย่าลืมว่าเป้าหมายมีแค่แชมป์ หากผิดจากนี้เห็น "บ้านแตก" ทุกที !!! สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่แผนการเตรียมทีมทั้งในและนอกสนามที่จะต้องต่อเนื่องกันตั้งแต่ “ซูซูกิคัพ” จนถึง "เอเชี่ยน คัพ 2019" ที่รออยู่ในช่วงหลังปีใหม่ เอาจริงๆคือเรื่องนอกสนามของฟุตบอลไทยชั่วโมงนี้ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไร ระบบการจัดการถือว่าโอเคมีระบบและรูปแบบมากขึ้น แต่เรื่องในสนามนี่ยังต้องเอาใจช่วยกันหนักๆต่อไป “ราเยวัช” เรียกตัวแบบมีขัดใจทุกที ทั้งที่คุณภาพนักเตะไทยพัฒนาดีขึ้นและน่าจะมีตัวเลือกเยอะขึ้นแท้ๆ แน่นอนว่า “ราเยวัช” คงมีเหตุผลของตัวเองและเห็นอะไรแบบที่หลายคนไม่เห็น ที่สุดแล้วผลงานของ “ช้างศึก” จะเป็นคำตอบสุดท้ายของทุกอย่างๆครับ  

                                                                                "บับเบิ้ล"

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline