logo-heading

แฟร้งค์ แลมพาร์ด คือตำนานพ่อค้าแข้งคนล่าสุดที่ได้ก้าวสู่เส้นทางการเป็นผู้จัดการทีมอย่างเต็มตัวกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ พร้อมกับภารกิจในการพาทีมตีตั๋วเลื่อนชั้นคัมแบ็กกลับสู่สังเวียน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

อย่างไรก็ตามมันคงไม่ง่ายดายแบบนั้นเพราะมันมีอีกตั้ง 23 ทีมที่ต้องการโควต้าดังกล่าวเหมือนกัน ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่ายอดตำนาน ‘ซูเปอร์แฟร้งค์’ ผู้นี้จะเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของเขาได้สวยหรูขนาดไหนกัน ล่าสุดทาง ‘สคอว์ก้า’ สื่อต่างประเทศได้จัดการทำแบบจำลองขึ้นมาเกี่ยวกับการบัญชาทัพ ‘แกะเขาเหล็ก’ ของ แลมพาร์ด ไล่ตั้งแต่การเสริมทัพไปถึงระบบการเล่น จนถึงผลสุดท้ายที่เกิดขึ้นผ่านทางเกม ‘ฟุตบอล เมเนเจอร์ 2018′ การเสริมทัพ ซีซั่น 2017-18 ความท้าทายแรกของ แลมพาร์ด ก็คือการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ และเขาก็ไม่ใช้เงินเลยแม้แต่แดงเดียวจากการคว้าตัว บาร์ท นีอูว์คูป จาก เฟเยนรู์ด, ยูริช คาโรลิน่า จาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และ จอช ซิมส์ จาก เซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นการยืมตัวทั้งหมด ถัดมาที่ตลาดนักเตะเดือนมกราคม แลมพาร์ด ก็ได้ใช้เงินจำนวนหนึ่งในการดึงตัว เควิน ลอง กองหลังตัวสำรองจาก เบิร์นลี่ย์ มาเสริมความแข็งแกร่งในแผงแนวรับ และในขณะเดียวกันก็ปล่อย คริส แบร์ด ออกไปอยู่กับ วอลซอลล์ ด้วยค่าตัว 12.25 สไตล์การเล่น แบบจำลอง!เมื่อ แลมพาร์ด คุม ดาร์บี้ ผลงานจะออกมาเป็นยังไง ??? แลมพาร์ด ตัดสินใจใช้ระบบแผนการเล่น 4-4-2 ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนที่นิยมในฟุตบอลอังกฤษ โดย สกอตต์ คาร์สัน ได้รับบทบาทเป็นนายทวารมือ 1 ถัดมาที่แผงหลัง เคอร์ติส เดวิส, มาร์คัส โอลส์สัน และ นิอูว์คูป นี่คือ 3 คนที่ได้โอกาสลงเล่นมากที่สุด ส่วนตัวเลือกอะไหล่ก็ยังมี ริชาร์ด เคโอช์, อเล็กซ์ เพียร์ซ รวมไปถึง เควิน ลอง นักเตะใหม่ แถม ทอม ฮัดเดิ้ลสตัน กองกลางก็สามารถอยลงมาเล่นกองหลังได้เช่นกัน ส่วนในแผงมิดฟิลด์ถือว่ามีตัวให้เลือกสรรมากมายโดยตัวหลักๆ คือ ทอม ฮัดเดิ้ลสตัน จะได้เล่นร่วมกับ จอร์จ โธร์น หรือไม่ก็ โจ เล็ดลี่ย์ ส่วนด้านข้างก็มีตัวเลือกให้ใช้เพียบไม่ว่าจะเป็น ทอม ลอว์เรนซ์, จอช ซิมส์, คาซี่ย์ พัลเมอร์ ตัวยืมจาก เชลซี รวมไปถึง แบรดลี่ย์ จอห์นสัน ถัดมาที่แนวรุกตัวที่ถูกใช้งานมากที่สุดจะเป็น แซม วินนัลล์ ที่ยืมมาจาก เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ และอีกคนคือ มาเตจ วีดร้า โดยมี คาเมร่อน เจอโรม และ เดวิด นิวเจนต์ เป็นตัวเปลี่ยนเกม ผลงานที่ออกมา แลมพาร์ด เปิดสนามได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่จากการบุกไปเสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ 1-1 แต่จากนั้นเขาก็ทำผลงานได้ดีจนกระทั่งมาพบกับความพ่ายแพ้เกมแรกในสัปดาห์ที่ 11 ของฤดูกาลซึ่งเป็นการบุกไปพ่ายต่อ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 1-2 แต่จากนั้น ดาร์บี้ ของ 'ซูเปอร์แฟร้งค์' ก็เรียกฟอร์มเก่งได้ทันทีในเกมถัดมาด้วยการเปิดรัง ไพร์ด พาร์ค อัด น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ไปถึง 3-0 แถมยิงได้ถึง 3 ประตูในเวลาแค่ 32 นาทีอีกด้วย ก่อนที่พวกเขาจะมาคว้าแชมป์ลีกอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมจากการชนะ 'เจ้าป่า' อีก 1 นัดด้วยสกอร์ 2-0 เกียรติประวัติ/อันดับตารางคะแนน ฤดูกาลแรกของ แลมพาร์ด กับการกุมบังเหียนทัพ 'แกะเขาเหล็ก' เขาพาทีมจบที่อันดับ 1 เป็นแชมป์ของเวที เดอะ แชมเปี้ยนชิพ แพ้แค่ 8 นัดเท่านั้นจาก 46 เกม พวกเขาจบเหนือทีมอันดับ 2-3 อย่าง มิดเดิ้ลสโบรช์ และ เร้ดดิ้ง อยู่ 2 และ 3 คะแนนตามลำดับจากการมี 82 คะแนน และลูกได้เสียบวกอยู่ที่ 24 ประตู นอกจากนี้การทำทีมของ แลมพาร์ด ยังมีสถิติที่น่าสนใจเพิ่มอีกนั่นคือการพา ดาร์บี้ ไม่แพ้ติดต่อกันยาวนานถึง 10 เกมรวด และเป็นทีมที่มีค่าเฉลี่ยเปอร์เซนต์การครองบอลที่ดีที่สุดอยู่ที่ 53.67 เปอร์เซนต์ โดยรางวัลส่วนตัว แลมพาร์ด ได้รางวัล ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน 2  สมัย ส่วนในเส้นทางล่าแชมป์บอลถ้วยในประเทศ ดาร์บี้ ต้องจอดป้ายที่รอบ 3 ในศึก เอฟเอ คัพ หลังโดนสยบด้วยน้ำมือของ นอริช ซิตี้ ขณะที่รายการ คาราบาว คัพ ก็ไปได้ถึงแค่รอบ 4 เท่านั้นจากการแพ้ทีมเก่า เชลซี ไป 0-2 ผลงานและคะแนนที่ออกมา ทาง 'สคอว์ก้า' เห็นว่าควรให้ 10 เต็ม 10 จากการมาคุมทีมปีแรกและได้เลื่อนชั้นสู่ศึก พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ของ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ การเสริมทัพ ซีซั่น 2018-19 ดาร์บี้ ใต้บัลลังก์ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ได้กลับเลื่อนชั้นสู่ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมกับได้เงินมาก้อนหนึ่งเป็นรางวัล และนั่นก็นำมาซึ่งการเสริมความแข็งแกร่งเพิ่มเติม ในช่วงซัมเมอร์ 2018 เขาเซ็นสัญญานักเตะมาอีก 4 ได้แก่ มาร์ติน เคลลี่ จาก คริสตัล พาเลซ ค่าตัว 975,000  ปอนด์ (อาจสูงสุดอาจอยู่ที่ 1.2 ล้านปอนด์), เจค คูเปอร์ กองหลังจาก มิลวอลล์ ค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์ (อาจสูงสุดอยู่ที่ 4.5 ล้านปอนด์), ทาคุมะ อาซาโนะ ยืมตัวจาก อาร์เซน่อล รวมไปถึง แซม บายรัม ก็ยืมตัวมาจาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เช่นกัน พอมาถึงตลาดช่วงต้นปี 2019 แลมพาร์ด ก็จัดการเสริมทัพอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น มาร์โก ยานโควิช จาก ปาร์ติซาน ค่าตัว 1.6 ล้านปอนด์ (อาจสูงสุดอยู่ที่ 1.8 ล้านปอนด์), ชานี่ ตาราชาย ค่าตัว 8.25 ล้านปอนด์ (อาจสูงสุดอยู่ที่ 12.75 ล้านปอนด์) จาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, มิตเชลล์ ไดจ์ ค่าตัว 4.2 ล้านปอนด์ (อาจสูงสุดอยู่ที่ 5.25 ล้านปอนด์) จาก วีวีวี เวนโล่, ฟาบิโอ บอรินี่ บอรินี่ ค่าตัว 3.3 ล้านปอนด์ (อาจสูงสุดอยู่ที่ 4.2 ล้านปอนด์) จาก เอซี มิลาน, เพอร์ ชูร์ส ยืมตัวจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และ ลูคัส ฮราเดคกี้ ค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์ จาก ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ส่วนที่ปล่อยออกไปนั้นมีแค่รายเดียวคือ แอนดี้ ไวมันน์ ซึ่งถูกขายไปให้ เออีเค เอเธนส์ ในราคา 1.6 ล้านปอนด์ (อาจสูงสุดอยู่ที่ 2.2 ล้านปอนด์) สไตล์การเล่น แบบจำลอง!เมื่อ แลมพาร์ด คุม ดาร์บี้ ผลงานจะออกมาเป็นยังไง ??? แลมพาร์ด ยังคงยึดระบบ 4-4-2 ต่อไป โดยในตำแหน่งนายทวารช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล คาร์สัน ได้เป็นโกล์ตัวจริง แต่เมื่อการมาของ ฮราเดคกี้ ก็เลยทำให้เขาถูกผลักไปเป็นสำรอง ส่วนในแผงหลัง ลอง กับ เดวิส คือ 2 เซ็นเตอร์แบ็กที่ผลงานดีที่สุด ขนาบข้างฟูลแบ็กจะถูกใช้งานเป็น ไดจ์ กับ อังเดร วิสดอม ถัดมาที่แดนกลาง ลอว์เรนซ์ กลายเป็นตัวหลักของทีมและเป็นคนที่ได้ลงเล่นมากที่สุดในทีม ส่วน โธร์น และ ฮัดเดิ้ลส์สตัน กลับบทบาทลดน้อยลง ขณะที่กองหน้าอย่าง บอรินี่ และแบ็กขวาอย่าง บายรัม กลับถูกจับให้มาเล่นในตำแหน่งปีก 2 ข้างซ้าย-ขวา ส่วนแนวรุก อาซาโนะ ได้รับบทบาทเป็นกองหน้าตัวจริง โดยมีตัวหนุนเป็น ตาราชาย ขณะที่ วีดร้า, นิค แบล็คแมน และ คริส มาร์ติน จะได้ลงเล่นในรายการบอลถ้วย ถัดมาที่ เจอโรม และ นิวเจนต์ ถูกส่งลงไปเล่นกับทีมชุดสำรอง ผลงานที่ออกมา ดาร์บี้ เปิดสนามได้สวยด้วยการบุกไปเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ได้ 1-0 จากประตูชัยของ อาซาโนะ แต่จากนั้นก็ถูก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมายำใหญ่ถึงบ้าน 4-1 แต่ผลงานโดยรวมในช่วงแรกก็ถือว่าทรงๆ ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะ แลมพาร์ด พาทีมเก็บได้ 7 คะแนนจาก 5 เกมแรกของซีซั่น อย่างไรก็ตามจากนั้น 'แกะเขาเหล็ก' ผลงานระส่ำอย่างต่อเนื่องหลังจากไม่ชนะใคร 11 เกมติดต่อกันตั้งแต่ช่วงเดือน กันยายน จนถึง คริสมาสต์ และมีเสมอแค่ 2 เกมเท่านั้นจนต้องหล่นไปรั้งอยู่ในโซนตกชั้น ก่อนจะฮึดเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ 2-0 ในช่วงปลายปี และในช่วง 10 เกมสุดท้ายของฤดูกาล ดาร์บี้ ก็มีลูกฮึดเหมือนกัน แต่ก็แพ้ไปถึง 3 นัดและก็มันก็ไม่ช่วยให้พวกเขาหนีตายได้สำเร็จ เกียรติประวัติ/ตารางคะแนน การลุ้นหนีตกชั้นมันต้องมาลุ้นกันจนถึงเกมสุดท้ายของซีซั่น เพราะ ดาร์บี้ นั้นจำเป็นต้องบุกไปชนะ อาร์เซน่อล พร้อมกับแช่งให้ สวอนซี ซิตี้, มิดเดิ้ลสโบรช์ และ ไบร์ทตัน ต้องแพ้ทั้งหมด และก็เป็นไปตามคาดเมื่อทั้ง 3 ทีมดังกล่าวแพ้ทั้งหมด แต่ลูกทีมของ แลมพาร์ด กลับทำได้แค่บุกไปเจ๊า 'ปืนใหญ่' 2-2 ทั้งที่นำก่อนถึง 2-0 ในช่วง 21 นาทีแรก ก็เลยต้องตกชั้นไปตามระเบียบ ดาร์บี้ จบเป็นอันดับรองบ๊วยที่ 19 มี 30 คะแนนจากการลงเตะ 38 นัดเท่ากับอันดับ 18 สวอนซี ซิตี้ แต่เป็นรองลูกได้เสียอยู่ที่ -29 ต่อ -21 และตามหลังพื้นที่โซนปลอดภัยแค่แต้มเดียวเท่านั้น นั่นคือ มิดเดิ้ลสโบรช์ ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาพร้อมกัน ส่วนในรายการบอลถ้วยไม่ว่าจะเป็น เอฟเอ คัพ หรือ คาราบาว คัพ 'แกะเขาเหล็ก' ก็ต้องรอบไปตั้งแต่ไก่โห่ ผลงานและคะแนนที่ออกมา ทาง 'สคอว์ก้า' มองว่าควรให้คะแนนแค่ 4 เต็ม 10 เท่านั้น หลังเห็นว่ามีแค่บางเกมเท่านั้นที่พวกเขามีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น ซึ่งในภาพรวมแล้วศักยภาพของพวกเขายังไม่มากพอจะเล่นใน พรีเมียร์ลีก แถมการเสริมทัพก็สายเกินไป เพราะกว่าจะมาได้แข้งดีๆ ก็ต้องรอจนถึงตลาดเดือนมกราคม และท้ายที่สุดก็มิอาจยืนหยัดอยู่บนเวที พรีเมียร์ลีกได้  

-HaMuDosSantos-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline