logo-heading

ศึก ฟุตบอลโลก 2018 เดินทางมาถึงวันที่ 24 แล้ว และคู่เอกในค่ำคืนนี้ก็คือการห้ำหั่นกันระหว่าง สวีเดน ม้ามืดและ อังกฤษ ชาติขวัญใจมหาชน

อังกฤษ พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าชุดนี้แกร่งที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และก็เพิ่งล้างอาถรรพ์สะกดคำว่าเป็นแล้วใน ฟุตบอลโลก กับการยิงจุดโทษตัดสิน แต่ที่น่าเซอร์ไพรส์ไปมากกว่านั้นคือ สวีเดน ที่ขุมกำลังดูธรรมดาๆ ผลงานก็ไม่ได้ดีและก็ไม่ได้แย่ แต่กลับตีตั๋วเดินทางมาไกลถึงรอบนี้ได้ และอะไรล่ะ? ที่เป็นตัวนำพาพวกเขามาถึงจุดๆ นี้ได้ ไปดูกัน !!! ตัวผู้เล่น ทีมชาติ สวีเดน ถ้าย้อนกลับไปสัก 10-20 ปีตัวความหวังของชาติก็มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่ไล่ตั้งแต่ยุคของ เฮนริค ลาร์สสัน, เฟรดิค ลุงเบิร์ก ตลอดจนล่าสุดก็คือ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช แต่ถ้าเป็นยุคนี้ต้องบอกว่าคลื่นลูกใหม่หลายลูกสามารถเป็นที่พึ่งพาได้ไม่ว่าจะเป็น เอมิล ฟอร์สเบิร์ก, จอห์น กุยเด็ตติ, ลุดวิก ออกุสตินส์สัน หรือ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ ไหนจะพวกเขาตัวเก่าๆ ที่ขึ้นชั้นแข้งซีเนียร์อย่าง มาร์คุส เบิร์ก, โอล่า ตอยโวเน่น, เซบาสเตียน ลาร์สสัน, มิกาเอล ลุสติก และ อันเดรียส กรานควิสต์ ใช้เกมรับเป็นอาวุธหลักในการโจมตีคู่แข่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ สวีเดน มาไกลจนถึงจุดๆ นี้ต้องบอกว่าเกมรับคือส่วนสำคัญจริงๆ สังเกตได้จากรอบคัดเลือก (รวมเพลย์ออฟ) 12 นัด พวกเขาเก็บคลีนชีทได้ถึง 7 เกม และถ้าเจาะลึกลงไปอีกจะเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นทีมที่มีผู้เล่นกองกลางและกองหลังเก๋าเกมหลายคน และเล่นด้วยกันมานาน จึงไม่แปลกที่แต่ละแนวแต่ละแผงจะระเบียบจัดขนาดนี้ ส่วนเรื่องของเกมรุกนั้นก็หวังผลได้บ้างไม่ได้บ้าง มีโอกาสยิงเยอะก็จริงในหลายๆ เกม ทว่ากลับเปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้เพราะขาดความเฉียบคม แต่ถ้ายามใดที่ สวีเดน เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำก่อนขึ้นมานั่นจะถือเป็นนรกของคู่แข่งจริงๆ เพราะพวกเขาจะใช้จุดแข็งเรื่องเกมรับเล่นงานปั่นประสาทคุณ สังเกตได้จากเกม ฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมาที่เจอกับ เกาหลีใต้, เยอรมัน และ เม็กซิโก รวมไปถึงรอบน็อคเอาท์กับ สวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีใครสามารถทวงประตูคืนจาก สวีเดน ได้ยามเป็นฝ่ายตามหลัง ยกเว้น เยอรมัน ที่พลิกกลับมาชนะได้ แต่พวกเขาก็เลือดตาก็แทบจะเด็นอยู่เหมือนกันในวันนั้น แถมยังมีโชคเข้าข้างด้วย หมดยุค ซลาตัน แล้วไง ? ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเจ้าและเป็นโคตรตำนานเบอร์ 1 ของวงการลูกหนัง สวีเดน พอพี่แกประกาศรีไทร์จากทีมชาติไปหลายๆ ฝ่ายก็แสดงฟันธงกันว่าอนาคตของ สวีเดน จะต้องล่มจมแน่นอน เพราะไม่มีใครให้หวังให้พึ่งพาอีกต่อไป แต่ในความเป็นจริงมันดันตรงกันข้ามกันเลย สวีเดน มาเล่น ฟุตบอลโลก 2018 ได้โดยไม่มี ซลาตัน และ ซลาตัน ก็ไม่เคยพา สวีเดน ตีตั๋วไปผจญภัยในทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอลโลก ได้เลยทั้งในปี 2010 และ 2014 ทั้งที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว หรือภาษาปัจจุบันที่เขาเรียกกันว่า ‘เดอะ แบก’ นั่นเอง สวีเดน ชุดนี้ทั้งแข้งรุ่นเก่าและเด็กรุ่นใหม่จริงๆ ก็ไม่ได้มีตัวผู้เล่นที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ เผลอๆ ถ้าวัดกับทีมอื่นที่เข้ามาในรอบ 8 ทีมด้วยกันพวกเขาดูเป็นทีมที่ด้อยที่สุดด้วยซ้ำ แต่ด้วยคำว่า ‘ทีมเวิร์ค’ มันช่วยกลบสิ่งเหล่านั้นได้หมด สวีเดน เป็นทีมที่มีทีมเวิร์คดีมาก นักเตะในทีมเข้าใจกันดี ช่วยเหลือกันได้ดี สังเกตได้จาก 4 เกมที่ผ่านมามันทำให้ สวีเดน ไม่ได้เป็นรองทีมใดเลยสักนิด ดังนั้นเมื่อมีสิ่งนี้ที่เรียกว่า ‘ระเบียบวินัย, สามัคคี และทีมเวิร์ค’ การมีผู้เล่นหนึ่งเดียวที่เป็น เดอะ แบก ก็ไม่จำเป็น! มีโชคเข้าข้างอยู่พอสมควร สอดคล้องกับข้อด้านบน อย่างที่รู้กันว่า สวีเดน เป็นทีมที่ประสิทธิภาพในเกมรุกหรือเรื่องการจบสกอร์ไม่ได้เลิศสเลอเว่อร์วังอะไรมากมายนัก และทำให้บางทีก็ต้องอาศัยลูกตั้งเตะเข้าเล่นงาน, บางทีก็ต้องอาศัยโชคช่วย และบางทีก็ต้องอาศัยความผิดพลาดของคู่แข่ง โดยใน ฟุตบอลโลก 2018 สวีเดน ได้จุดโทษไปแล้ว 2 ครั้ง (เกมเจอ เกาหลีใต้ และ เม็กซิโก) และคู่แข่งทำเข้าประตูตัวเองอีก 1 ลูก (เกมเจอ เม็กซิโก) นอกจากนี้มีอยู่ 2 นัดที่คู่แข่งต้องเหลือผู้เล่น 10 คนจากการโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม (เกมเจอ เยอรมัน และ สวิตเซอร์แลนด์) เส้นทางการแข่งขัน ว่ากันด้วยเรื่องของโชคที่คอยเข้าข้าง นั่นแหละมันก็เลยทำให้ สวีเดน มีโอกาสอันดีที่จะตีตั๋วไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้ หากย้อนกลับไปในรอบแบ่งกลุ่มเกมที่เป็นจุดเปลี่ยนจริงๆ ก็คือเกมสุดท้ายที่เจอ เม็กซิโก ถ้าวันนั้นพวกเขาไม่พลิกล็อคถล่ม เม็กซิโก ขึ้นมา และจบเป็นอันดับ 2 พวกเขาจะต้องไปอยู่สายบนที่มีด่านนรกเพียบ สวีเดน อาจจะต้องเป็นฝ่ายดวลกับ บราซิล และถ้าผ่านได้ก็ต้องเจอกับทีมบุกโหดๆ อย่าง เบลเยี่ยม ซึ่งมันมีความเป็นไปได้น้อยมากๆ ที่พวกเขาจะผ่าน 2 ด่านนี้ได้ อย่างไรก็ตามสกอร์ 3-0 ในวันนั้นที่กำชัยเหนือ เม็กซิโก ที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์มันทำให้ สวีเดน อยู่ในเส้นทางที่ดูง่ายกว่า นั่นคือการเจอ สวิตเซอร์แลนด์ ตามด้วยรอบล่าสุด (คืนนี้) ที่จะเจอกับ อังกฤษ ถ้าถามว่ามันง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับ บราซิล และ เบลเยี่ยม ไหม ? ใช่เลย มันดูง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไหนจะตัดเชือกอีก ถ้าฝ่ามันไปได้ก็ต้องเจอกับของแข็งอย่าง ฝรั่งเศส อีก ผิดกับสายอยู่ที่ปัจจุบันถ้าผ่าน อังกฤษ ไปการได้เจอกับ โครเอเชีย หรือ รัสเซีย แน่นอนว่างานมันเบากว่าเยอะ และเผลอๆ สวีเดน อาจก้าวไปรอบชิงดำได้

-HaMuDosSantos-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline