logo-heading

ในที่สุดก็เป็นไปตามชะตากรรมที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ต้องตกงานจาก เชลซี จากปัญหามากมายที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการมีปัญหาเรื่องงานกับบอร์ดบริหาร รวมไปถึงผลงานที่น่าผิดหวังเมื่อปีที่ผ่านมา

นั่่นทำให้อาถรรพ์ของผู้จัดการทีม พรีเมียร์ลีก ยังคงอยู่ต่อไปหลังจากพาทีมเป็นแชมป์ ก่อนจะตกงานในปีต่อมา ดังนั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ววันนี้ทาง 'ขอบสนาม' จะขอพาทุกท่านย้อนรอยกลับไปดูกันสักหน่อยว่ามีกุนซือคนใดบ้างที่ต้องเจอกับคำสาปนี้ในพักหลังๆ เริ่มกันเลยที่... คาร์โล อันเชล็อตติ 2009-10 อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก คาร์โล อันเชล็อตติ ได้รับการยกย่องว่าเป็นกุนซือที่มากฝีมือที่สุดคนหนึ่งในวงการลูกหนังยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะไปคุมทีมไหนก็มักจะมีแชมป์ติดไม้ติดมือตลอด การมา เชลซี ของเขาเมื่อปี 2009 ก็เช่นกัน เพราะลุงแกไม่ทำให้แฟนคลับ 'เดอะ บลูส์' ผิดหวังเลยจริงๆ ด้วยการพา เชลซี เก็บได้ 86 คะแนนในฤดูกาลนั้น เฉือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แค่แต้มเพียงพร้อมกับได้เถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก สมใจ แถมยังมีถ้วย เอฟเอ คัพ มาประดับอีก 1 ใบด้วย แต่ที่โหดไปมากกว่านั้นคือการพาลูกทีม 'สิงโตน้ำเงินคราม' ระเบิดตาข่ายไปถึง 103 ลูกซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล ณ เวลานั้น แต่การป้องกันแชมป์มันก็ยากกว่าการคว้าแชมป์อยู่แล้ว และด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมามากมายเรื่องนักเตะในทีม รวมไปถึงความกดดันที่ต้องแบกเอาไว้ เชลซี ก็มีช่วงเวลาที่สะดุดขาตัวเองล้มบ่อยครั้ง จนที่ในที่สุดก็ไม่สามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ และ 'คาร์เล็ตโต้' โดนสั่งปลดออกจากตำแหน่งเพียงแค่ 2 ชั่วโมงหลังจาก เชลซี แพ้ให้ เอฟเวอร์ตัน ในเกมปิดซีซั่น ถึงแม้ อันเชล็อตติ จะพาทีมจบอันดับ 2 พร้อมสร้างสถิติเป็นกุนซือ พรีเมียร์ลีก ที่มีเปอร์เซนต์การชนะสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ก็ตาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (กรณียกเว้น) อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก ด้วยความที่อยู่ยงคงกระพันในเวที พรีเมียร์ลีก มาอย่างยาวนาน บวกกับพิษสงด้านความอัจฉริยะในการคุมทีม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อาจจะเป็นผู้จัดการทีมแค่คนเดียวที่ไม่เจอกับอาถรรพ์นี้ (เป็นแชมป์ปุ๊บปีต่อมาตกงาน) เมื่อ 7-8 ปีก่อน หลังจากเสียท่าให้ เชลซี ป๋าแกก็พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทวงตำแหน่งแชมป์คืนมาได้ในปีต่อมา ก่อนจะรีไทร์จากวงการไปในปี 2013 ซึ่งปีนั้นลูกก๊วน 'ปีศาจแดง' ก็ได้เถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก ด้วย โรแบร์โต้ มันชินี่ 2011-12 อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก ถ้าพูดถึงปีแห่งประวัติศาสตร์บนสังเวียน พรีเมียร์ลีก ที่มีความเข้มข้นในการแก่งแย่งแชมป์มากที่สุดฤดูกาล 2011-12 จะต้องอยู่ในความทรงจำของทุกคนแน่นอน เพราะนั่นคือยุคที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาทีมระดับบิ๊กเนมของยุโรปจากการใช้เงินจำนวนมหาศาลสร้างมันขึ้นมา โรแบร์โต้ มันชินี่ ใช้เงินซื้อนักเตะเกรดพรีเมี่ยมมาเสริมแกร่งหลายคน และมันส่งผลชัดเจนเมื่อปีนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องห้ำหั่นและวัดกันจนถึงวินาทีสุดจริงๆ ถึงจะรู้ว่าใครเป็นแชมป์ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปชนะ ซันเดอร์แลนด์ ได้ตามเงื่อนไขแรก แต่ข้อที่ 2 คือต้องแช่งให้ แมนฯ ซิตี้ ไม่ชนะ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส และทุกอย่างมันเหมือนจะเป็นใจสำหรับพวกเขา เพราะในนาที 89 แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายตามหลังอยู่ 1-2 แต่ขึ้นชื่อว่ากีฬาฟุตบอลอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จู่ เอดิน เชโก้ ก็มายิงตีเสมอในนาที 90+1 เท่านั้นยังไม่พอ เซร์คิโอ อเกวโร่ ดันมาซัลโวประตูสู่ฝันในนาที 90+4 พา แมนฯ ซิตี้ ได้ทะยานสู่แชมป์ พรีเมียร์ลีก ในปีนั้นแบบสุดดราม่าด้วยแต้มที่ 89 คะแนนเท่ากับคู่แข่งร่วมเมือง แต่ลูกได้เสียมากกว่าอยู่ 8 ลูก อย่างไรก็ตามในฤดูกาลถัดมาลูกทีมของ 'มันโช่' ก็มีฟอร์มที่แกว่งและเป๋ๆ ลงไป จนโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาทวงแชมป์คืน เท่านั้นยังไม่พอ แมนฯ ซิตี้ ดันไปพลิกล็อตพลาดท่าแพ้ วีแกน แอธเลติก ใน เอฟเอ คัพ รอบชิงอีกต่างหาก ก่อนจะถูกไล่ออกจากจบแมตช์นั้นได้ 2 วัน เพราะไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลยในปีนั้นทั้งที่ใช้เงินไปอย่างมหาศาล มานูเอล เปเยกรินี่ 2013-14 อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก หลังหมดยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็อยู่ในช่วงตกต่ำ และผู้ที่ได้ชื่อล่าแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปีนั้นก็คือ ลิเวอร์พูล มานูเอล เปเยกรินี่ ได้เข้ามาคุมทีมต่อจาก โรแบร์โต้ มันชินี่ และก็ใช้นักเตะที่มีอยู่ได้ดีทีเดียว เพราะลุงแกขึ้นชื่อลือชาเรื่องการทำทีมเกมบุกเหมือนกัน และสามารถนำทัพ 'เรือใบสีฟ้า' ปาดหน้า ลิเวอร์พูล เข้าเส้นชัยและเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สมใจ พ่วงกับถ้วย ลีก คัพ อีก 1 ใบ แต่ในขณะเดียวกันก็โดนวิจารณ์เยอะเหมือนกันว่าที่ลุงแกเป็นแชมป์ได้นั้นก็เป็นเพราะได้มรดกที่ตกทอดมาจากยุค 'มันโช่' แต่จากนั้นอีก 2 ปีที่ได้ทำงานในรั้ว เอติฮัด สเตเดี้ยม ก็หยิบได้แค่ถ้วยแชมป์ ลีก คัพ อีกแค่ใบเดียว และก็ไม่ได้เข้าใกล้กับคำว่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกเลย แถมผลงานยังดร็อปลงไปเยอะอีกด้วย จนกระทั่ง กุมภาพันธ์ 2016 สโมสรต้นสังกัดประกาศอย่างไม่ไว้หน้ากันว่าหลังจบฤดูกาลนั้น มานูเอล เปเยกรินี่ จะต้องตกงาน และเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่จะเข้ามาสานต่อ แต่ด้วยสปิริตและความเป็นมืออาชีพอย่างน้อยเขาก็สามารถพา แมนฯ ซิตี้ จบท็อปโฟร์ได้ในฤดูกาล 2015-16 โชเซ่ มูรินโญ่ 2014-15 อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก นับเป็นอีกความตื่นเต้นบนเวที พรีเมียร์ลีก ที่กุนซือผู้โด่งดังอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ได้กลับคืนสู่สังเวียนดังกล่าวอีกครั้งและเป็นการกุมบังเหียน เชลซี ในคำรบที่ 2 ด้วย เจ้าของฉายา 'เดอะ เวิร์ส วัน' ใช้เวลาอยู่ 1 ปีในการยลโฉมลูกทีมของเขาขึ้นมาใหม่ และด้วยกึ๋นมันสมองที่มี บวกกับแท็คติกรถบัสที่สร้างความรำคาญให้กับคู่แข่ง มันได้เสกแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกให้กับ เชลซี ได้นับตั้งแต่ปี 2010 นอกจากนี้ยังหยิบแชมป์ ลีก คัพ ได้อีกด้วยจากการตบอริร่วมเมืองอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันมันก็ได้เกิดขึ้นในปีถัดมา เพราะ เชลซี กลับฟอร์มตกลงไปอย่างน่าใจหายจนถึงขั้นหล่นลงไปรั้งที่ต่ำถึงอันดับ 16 เลยทีเดียว ก่อนจะฮึดสู้มาจบในอันดับ 10 ในซีซั่น 2015-16 ซึ่งสาเหตุคาดว่ามาจากนักเตะในทีมเล่นไล่โค้ชจากปัญหาที่ มูรินโญ่ ไปมีเรื่องกับหมอ เอวา การ์เนโร่ ทีมแพทย์สาวประจำทีมในทำนองเหยียดเพศถึงขั้นต้องตกงานเลยทีเดียว แต่มันก็เหมือนกรรมตามสนอง เพราะกุนซือชาวโปรตุกีสรายนี้ก็ต้องโดนไล่ออกเหมือนกันในช่วงเดือน พฤศจิกายน ปี 2015 เคลาดิโอ รานิเอรี่ (2015-16) อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือมากประสบการณ์ อาจไม่ได้เป็นกุนซือที่ราศีจับหรือมีบารมีอะไรมากมาย แต่ลุงแกได้สร้างปรากฏการณ์เอาไว้ให้ชาวโลกได้จดจำนั่นคือเขียนนิยายระดับตำนานด้วยการพาทีมเล็กๆ อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ปาดหน้าทีมบิ๊กเนมทั้งหมดและหยิบแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่และน่าเหลือเชื่อสุดๆ ไม่ว่าใครจะพูดถึงทัพ 'จิ้งจอกสยาม' เรื่องตำนานบทนี้จะต้องถูกนึกถึงมาเป็นสิ่งแรกแน่นอน แต่ในปีถัดมาเมื่อมันมีการแข่งขันอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เข้ามาก็เหมือนกับ เลสเตอร์ จะไปพะวงและให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากเกินไป จนอาจจะละเลยสถานการณ์ในเกมลีกที่พอรู้ตัวอีกทีก็รั้งอยู่ในโซนตกชั้นซะแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเสริมทัพนักเตะใหม่มามากมายเพียงใด แต่ก็ไม่ช่วยอะไรถ้ามันปรับตัวเข้ากับทีมไม่ได้ เลสเตอร์ กลายเป็นทีมที่พังพินาศยับเยินในปีนั้น และแน่นอนเมื่อมันแบบนั้น รานิเอรี่ ก็ไมได้อยู่กับทีมต่อไป โดยเขาโดนไล่ออกในเดือน กุมภาพันธ์ 2017 อันโตนิโอ คอนเต้ (2016-17) อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก อันโตนิโอ คอนเต้ ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาคุมทีม เชลซี เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่กลับถูกมองว่าเป็นคนนอกสาย เพราะคนส่วนใหญ่ต่างก็ไปจับจ้องให้เชื่อมั่นกันว่า 2 ทีมที่จะได้ลุ้นแชมป์กันนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โชเซ่ มูรินโญ่ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แต่ท้ายที่ท้ายที่สุดบอสใหญ่ผู้บ้าคลั่งคนนี้ก็หักปากกาเซียนพา เชลซี ครองจ่าฝูงแบบม้วนเดียวจบ ก่อนจะเข้าเส้นชัยสู่การเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในที่สุด ด้วยระบบหลัง 3 ที่กำลังเป็นแฟชั่นในชั่วโมงนี้ อันโตนิโอ คอนเต้ ผู้นี้นี่แหละคือคนนำเทรนด์ อย่างไรก็ตามในปีต่อมาปัญหาต่างๆ ภายในมันก็ได้เกิดขึ้นกับ เชลซี โดยว่ากันว่า คอนเต้ นั้นมีปัญหากับบอร์ดบริหารเรื่องการทำทีมในหลายๆ ด้าน ไหนจะมามีปัญหากับนักเตะในทีมอย่าง ดีเอโก้ คอสต้า อีก ตลอดจนฟอร์มการเล่นที่มันไม่คงเส้นคงวา ป้องกันแชมป์ลีกก็ไม่ได้ ถึงแม้จะมีถ้วย เอฟเอ คัพ ติดมือมา แต่การไม่ได้สิทธิ์ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มันหนักหนาสาหัสกว่าเยอะ และเมื่อมันผสมและปะปนกันไปมันก็เลยทำให้ 'เสี่ยหมี' โรมัน อบราโมวิช ดูไม่ปลื้มเท่าไหร่ และเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องไปก็คือเขาต้องไป เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (รอลุ้นผล) อาถรรพ์ แชมป์ พรีเมียร์ลีก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ใช้เวลาสร้างทีมและแปลงดฉม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 1 ปีเต็มๆ เขาได้ทุ่มเงินไปกว่า 150 ล้านปอนด์เพื่อล่านักเตะที่หมายหัวมาร่วมทีม และเมื่อทุกอย่างมันเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ บวกกับความอัจฉริยะของเขามันก็เลยเสกแชมป์ พรีเมียร์ลีก ให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ในฤดูกาลล่าสุด แต่จากนี้แหละสำคัญ เราจะมาดูกันว่าหลังจากที่ เป๊ป พาทีมก้าวไปฝันได้แล้วนั้นในฤดูกาลหน้าชะตาชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร ? จะโดนอาถรรพ์คำสาปเหมือนกับกุนซือทั้งหมดที่เราได้กล่าวมาหรือเปล่า ???  

-HaMuDosSantos-

 
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline