การประกาศรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ถือว่าสร้างความตกตะลึงได้เหมือนกันเพราะผู้ชนะนั้นได้แต่ ลูก้า โมดริช ไม่ใช่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
จากสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันส่งสัญญาณให้เห็นว่าในเมื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เป็น 'เดอะ แบก' ของ เรอัล มาดริด มาตลอดนั้นไม่ได้รางวัลนี้นั่นก็หมายความว่าในรางวัลเกียรติยศระดับ 'บัลลงดอร์' มันก็อาจจะไม่ใช่เขาอีกเช่นกัน และนี่คือเหตุผลที่เจ้าของโค้ดเนม CR7 จะต้องอกหักอีกครั้งในการล่ารางวัล 'บัลลงดอร์'ผลงานใน ฟุตบอลโลก
ถึงแม้ โรนัลโด้ จะมีส่วนสำคัญพา เรอัล มาดริด เถลิงบัลลังก์แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ก็จริง แต่ผลงานใน ฟุตบอลโลก 2018 พี่แกถือว่าสอบตกสุดๆ เพราะหลายคนคาดหวังเอาไว้อย่างมากว่า โปรตุเกส จะต่อยอดได้ดีขนาดไหนจากความสำเร็จใน ยูโร 2018 และต่อให้พี่แกจะซัดไปถึง 4 ประตูในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว แต่สุดท้าย โปรตุเกส ก็ไปได้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น และแน่นอนว่าคะแนนตรงจุดนี้ในการลุ้นรางวัล 'บัลลงดอร์' ก็จะหายไปเยอะเหมือนกันPortugal are gearing up for #WorldCup in New Jersey fretting over Cristiano Ronaldo's fitness-https://t.co/YabLWvJWiM pic.twitter.com/7QIAfQwNrL
— FIFA World Cup (@FIFAWorldCup) June 4, 2014
การรักษามาตรฐานฟอร์มการเล่น
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดไป 26 ประตูจาก 27 เกมใน ลา ลีกา และซัดไป 44 ประตูจาก 44 เกมในทุกรายการ จริงอยู่ที่มันเป็นสถิติอันยอดเยี่ยมที่พี่รักษาเอาไว้ได้ แต่อย่าลืมว่าเมื่อปีก่อน โรนัลโด้ ฟอร์มออกทะเลไปไกลมากเกือบๆ ครึ่งฤดูกาลจะกลับเข้าฝั่งได้ จน เรอัล มาดริด ตกรอบ โกปา เดล เรย์ รวมถึงหมดลุ้นแชมป์ ลา ลีกา ตั้งแต่ไก่โห่ รางวัล 'บัลลงดอร์' จะมีการประกาศขึ้นในช่วงปลายปี ดังนั้นการรักษาฟอร์มการให้คงเส้นคงวาถือเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าหากเจ้าของโค้ดเนม CR7 ฟอร์มยังเงียบแบบนี้อยู่กับ ยูเวนตุส ก็อาจจะทำให้พี่แกชวดรางวัล 'บัลลงดอร์' สมัยที่ 6 ก็เป็นได้ หลังจากผ่านไปแล้ว 2 นัดยังเปิดซิงตุงแรกให้ตัวเองไม่ได้เลยThanks to everyone who voted for me. Will never forget that moment, specially the reaction of the fans in the stadium. #UEFA Goal of the Season #SpecialMoment pic.twitter.com/9teapgD9MW
— Cristiano Ronaldo (@Cristiano) August 28, 2018
ลิโอเนล เมสซี่ คือตัวแปรสำคัญ
รางวัล 'บัลลงดอร์' ปีนี้มันก็อาจจะไม่ใช่ปีของ ลิโอเนล เมสซี่ เช่นกัน เพราะมีจุดด่างพร้อยเกิดขึ้นใน ฟุตบอลโลก 2018 กับผลงานอันย่ำแย่ของทีมชาติ อาร์เจนติน่า แต่ถ้าวัดกับ โรนัลโด้ แล้ว เมสซี่ ถือมีโปรไฟล์ที่ดีกว่า อันดับแรกเลยก็คือการยิงประตูที่ถล่มทลายเหมือนเดิมจนได้รางวัล 'รองเท้าทองคำ' ของยุโรป, พา บาร์เซโลน่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ (ลา ลีกา, โกปา เดล เรย์) และฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาตั้งแต่ต้นยันจบ ตลอดจนช่วงเปิดซีซั่นนี้ใหม่ๆ ด้วยWho is the attacker you want and can help your team?
— Leo Messi ? (@WeAreMessi) August 29, 2018
Machin (Sevilla’s coach): Messi pic.twitter.com/ohGhl8HhUK
นักเตะหน้าใหม่ๆ ได้ก้าวขึ้นมาเฉิดฉาย
ตลอดช่วงที่ผ่านมาก็มีนักเตะที่แจ้งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ หลายคน แถมยังฉายแววได้ดีไม่แพ้นักเตะเบอร์ 1 ของโลกอย่าง โรนัลโด้ และ เมสซี่ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เนย์มาร์ ถึงแม้จะมีสไตล์การเล่นบอลที่ดูแอ็คอาร์ต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เขาคือคนที่ฉายแววได้โดดเด่นเสมอๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และนี่ก็คือคนที่ถูกวางตัวเอาไว้ว่าจะเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกคนต่อไปต่อจาก เมสซี่ และ โรนัลโด้ คีเลียน เอ็มบัปเป้ เด็กนรกวัยแค่ 19 ปีก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่สร้างปรากฏการณ์มหัศจรรย์ไว้มากมาย ไล่ตั้งแต่ผลงานที่เก่งเกินเด็กตั้งแต่อยู่ โมนาโกไล่มาจน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แต่ที่เป็นไฮไลท์ที่สุดก็คือความมหัศจรรย์ในเวที ฟุตบอลโลก 2018 ที่นอกจากจะตีนคมแล้วความไวดั่งปีศาจของไอ้เด็กนรกคนนี้ก็ฉีกร่างแผงแนวรับคู่แข่งทุกทีมที่เผชิญหน้ากัน และก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า เอ็มบัปเป้ คือกุญแจสำคัญที่พา ฝรั่งเศส เป็นแชมป์โลก ครั้งล่าสุดbon travail d'équipe ???? @KMbappe Crack ? pic.twitter.com/fHKnVNCN3s
— Neymar Jr (@neymarjr) August 18, 2018
ลูก้า โมดริช ก็มีความสำเร็จร่วมกับ โรนัลโด้ มาเมื่อฤดูกาลก่อน แต่บทบาทจะต่างกัน โรนัลโด้ จะหนักไปทางการพังประตูที่ถล่มทลาย ส่วน โมดริช จะเป็นคนสร้างสรรค์เกม, คุมจังหวะและขับเคลื่อนเกมราวกับเป็นมันสมองของทีม ทั้งคู่ความสำเร็จมาเท่าๆ กับที่ เรอัล มาดริด แต่จุดที่ โมดริช เหนือกว่า โรนัลโด้ ก็คือฟอร์มที่คงเส้นคงวาและจับต้องได้ รวมไปถึงฟอร์มใน ฟุตบอลโลก 2018 ที่พี่แกแบกทีมจนไปถึงรอบชิงฯ ส่วน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อาจจะฟอร์มสะแด่วมากๆ กับ ลิเวอร์พูล ทั้งเรื่องการเล่นเป็นระบบ, เทคนิคอันเหลือร้ายตลอดจนสถิติการยิงประตูที่สุดยอด แต่ถึงกระนั้นผลงานใน ฟุตบอลโลก กับทีมชาติ อียิปต์ กลับน่าผิดหวังสุดๆ6 years playing for the best club in the world ❤️ #HalaMadrid pic.twitter.com/gPNQz0QgMU
— Luka Modrić (@lukamodric10) August 27, 2018
ย้ายออกจาก เรอัล มาดริด
การอยู่กับ เรอัล มาดริด ใน ลา ลีกา สเปน อาจจะมีคู่แข่งน้อยหน้าน้อยตา แต่การได้ต่อกรกับ บาร์เซโลน่า ก็ถือเป็นบททดสอบสำคัญในวัดระดับด้านต่างๆ ส่วนการย้ายไป ยูเวนตุส แน่นอนว่าที่นั่นมีทีมชั้นนำมากมายทั้ง เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, นาโปลี, ลาซิโอ และ โรม่า แต่ถึงกระนั้น ยูเวนตุส ก็ยังได้ชื่อว่าเหนือกว่าทุกทีม และการันตีความสำเร็จเสมอมาHe's here.? He's Bianconero. ⚪⚫ He's @Cristiano. ???#CR7JUVE pic.twitter.com/QhvR2X3e26
— JuventusFC (@juventusfcen) July 16, 2018
ระบบการเลือกผู้ชนะกลับมาใช้นักข่าวโหวตเหมือนเดิม
เมื่อช่วงปี 2010 มีการรวม 'บัลลงดอร์' เข้ากับ รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีทั่วทั้งโลก ของ 'ฟีฟ่า' กลายเป็น 'ฟีฟ่า บัลลงดอร์' และการลงคะแนนเสียงนั้นก็มาจากกุนซือและกัปตันทีมในแต่ละประเทศ แต่พอถึงปี 2016 เมื่อรางวัลดังกล่าวมันดูไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป หลังโดนวิพากษ์วิจารณ์มากมายก็เลยทำให้ 'บัลลงดอร์' หักดิบ 'ฟีฟ่า' ขอกลับมาเป็นเจ้าของแค่เพียงคนเดียวเหมือนเดิม และระบบการให้คะแนนก็กลับมาเป็นนักข่าวเทเสียงอีกเช่นเคย และที่ ลูก้า โมดริช ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป นั่นก็มาจากการโหวตโดยนักข่าว ดังนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าปีนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อาจจะต้องผิดหวังจากการล่ารางวัล 'บัลลงดอร์' สมัยที่ 6What a year! Thanks Real Madrid, Croatia National team and everybody who helped me to achieve this amazing award ?❤️ #UEFAawards pic.twitter.com/f3zVV9Mq3s
— Luka Modrić (@lukamodric10) August 30, 2018