logo-heading

สองทีมโคตรเศรษฐี ก้าวข้าวมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกฟุตบอล กลายเป็นของเล่นคนรวย กลายเป็นเรื่องธุรกีิจ แล้วการเข้ามาของใครที่สร้างอิมแพ็คมากกว่ากัน

"เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเป็นเจ้าของทีม เชลซี เมื่อปี 2003 สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้วงการฟุตบอลอังกฤษ เช่นเดียวกับการเข้ามาเป็นเจ้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน และกลุ่มทุน อาบูดาบี เมื่อปี 2008 แน่นอนว่าทั้งสองเรื่องไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมดาๆ ทั้งคู่ นี่คือเรื่องที่เปลี่ยนเกมลูกหนังทั้งโลกไปตลอดกาล แต่การเข้ามาของใครที่มีอิทธิพลกว่ากัน โปรไฟล์ อบราโมวิช เศรษฐีชาวรัสเซีย ทรัพย์สินในมือ 10,500 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการสำรวจของนิตยสารการเงิน ฟอร์บส์ เมื่อปี 2017 เป็นเจ้าของบริษัทขุดแร่ค้าก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลกที่มีรายได้ปีละหลายพันร้านถึง 2 บริษัท ทำกิจการยิบย่อยอีกเยอะแยะ เข้ามาเทคโอเวอร์ เชลซี จากเจ้าของเก่า เคน เบทส์ ขณะที่ ท่านชีค มีสถานะเป็นถึงเชื้อพระวงค์ของราชวงค์ อาบูดาบี ทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 38,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เรียกว่าใช้กันแทบไม่หวาดไมไหว นอกจากมีหน้าที่บริหารประเทศ ยูเออี แล้ว ยังเป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน เจ้าของสโมสร วอลเลย์, แฮนด์บอล และ บาส รวมถึงม้าแข่งด้วย ระดับนี้เหลือๆ วัดกันที่ความรวย ทรัพย์สินของ ท่านชีค ดูจะกินขาด   ความเปลี่ยนแปลงและใจถึง "สิงโตน้ำเงินคราม" ในยุคนั้น เป็นทีมแถวหน้า เป็นทีมระดับลุ้นท็อปโฟร์ เป็นทีมระดับลุ้นแชมป์บอลถ้วยได้ แต่ห่างไกลกับการเป็นแชมป์ลีก ถ้าเทียบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ในยุคเรืองอำนาจตอนนั้น แต่เมื่อ "เสี่ยหมี" เข้ามาก็เปลี่ยนวงการไปอย่างสิ้นเชิง ไมใช่แค่ในอังกฤษ แต่เป็นวงการฟุตบอลทั้งโลกก็ว่าได้ แค่ฤดูกาลเดียว ก็ซื้อนักเตะราคาเกิน 10 ล้านปอนด์เข้ามาถึง 6 คน โดยคนที่แพงที่สุดคือ เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ที่ 17 ล้านปอนด์ ซึ่งการเสริมทัพด้วยเงินมากมายขนาดนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เชลซี ซื้อนักเตะบางคนด้วยราคาที่แพงกว่าที่ควรจะเป็น แถมให้ค่าเหนื่อยนักเตะแตะหลักแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ทำให้เกิดภาวะค่าตัวเฟ้อในตลาดนักเตะ และดูจะเป็นปัญหาไปทั่ววงการฟุตบอลในตอนนั้น หลายทีมจำเป็นต้องขยับค่าเหนื่อยตาม เชลซี เป็นโมเดลแรกๆ ที่ถูกเรียกว่าใช้เงินซื้อความสำเร็จ การเข้ามาปีที่สองของ "เสี่ยหมี" เชลซี ก็ความแชมป์ลีกได้แล้ว ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือคนที่ 2 ในยุคเศรษฐีรัสเซียรายนี้ ซึ่งแชมป์นี้เป็นแชมป์สมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรเท่านั้น ศึกเศรษฐี เสี่ยหมี vs ท่านชีค ใครพีคกว่าใคร? จากนั้นทีมคว้าแชมป์ลีกอีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ 3 สมัย รวมถึงการเป็นแชมป์ยุโรปทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เป็นสมัยแรกของสโมสรด้วย เปลี่ยนตัวกุนซือคุมทีมในระยะยาวไปร่วม 10 คน มาดูที่ ชีค มานซูร์ บ้าง เอาเข้าจริงโมเดลก็ไม่ต่างจากที่ อบราโมวิช ทำไว้กับ เชลซี เพียงแค่ โหดกว่า แพงกว่า แรงกว่า ซีซั่นแรกซื้อนักเตะเข้ามา 11 คนจาก 2 รอบตลาด โดยคนที่แพงที่สุดคือ โรบินโญ่ จาก เรอัล มาดริด ที่ราคา 32.5 ล้านปอนด์เลยทีเดียว เรื่องค่าตัว ค่าเหนื่อย ที่ แมนฯ ซิตี้ ทุ่มซื้อนักเตะออกแนวใจถึงกว่า "เสี่ยหมี" ด้วยซ้ำ กุนซืออยากได้ใคร บอกคำเดียว กระดิกนิ้วรอเซ็นสัญญาได้เลย นอกจากจะเป็นตัวที่หินจริงๆ แบบ ลีโอ เมสซี่ เพราะเงินไม่เคยเป็นปัญหา ค่าเหนื่อยค่าตัวทุ่มจัดเต็มได้ นับตั้งแต่กลุ่มทุน อาบูดาบี เข้ามา "เรือใบสีฟ้า" ดูไว้เนื้อเชื่อใจกุนซือมากกว่า ตอนนี้เปลี่ยนไปแค่ 4 คนเท่านั้น ขณะที่ความสำเร็จ ได้แชมป์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 3 สมัย และยังไม่เคยสัมผัสความสำเร็จระดับยุโรป ศึกเศรษฐี เสี่ยหมี vs ท่านชีค ใครพีคกว่าใคร? หากวัดกันแล้ว ความใจถึงเจ้าของจากตะวันออกกลางดูจะใจป้ำกว่า แทบไม่เคยแทรกแซงนโยบายการเสริมทัพ อยากได้ใครขอให้บอก ซื้อได้ก็จะซื้อ ไม่เกี่ยงค่าตัว ขอแค่ให้ดีจริง ส่วน "เสี่ยหมี" ซื้อนักเตะบางครั้งก็ไม่ถามกุนซือ บางครั้งซื้อตามใบสั่งก็ทำไม่ได้ มีปัญหาบริหารและแนวทางการทำงานกับกุนซือหลายคน เรื่องของความสำเร็จ เชลซี มีมากกว่า แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็อาจโดนไล่ทัน บอกตามตรงว่าเราไม่สามารถฟันธงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้ เราบอกไม่ได้ว่าอนาคต 2 ทีมนี้ใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน หรือถ้าไม่มีเจ้าของทีมสองคนนี้เข้ามา พรีเมียร์ลีก จะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่คาดเดา ถ้าไม่มี อบราโมวิช ไม่มี ชีค มานซูร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจได้แชมป์ลีกมากกว่า 20 สมัย, แชมป์ลีกสมัยสุดท้ายของ อาร์เซน่อล อาจไม่ใช่ปี 2003/04 หรือแม้แต่ ลิเวอร์พูล อาจไปถึงแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกมาแล้วก็เป็นได้

- เทพเฟี๊ยต -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline