logo-heading

หากจะเอ่ยถึงฟุตบอลไทยในแง่ของโค้ชคนทำทีมสัญชาติไทย ในยุคปัจจุบัน ยังคงไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริหารทีมฟุตบอลในระดับสโมสรมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากหลายๆทีมมักไปอิงกับโค้ชนอกจนแทบไม่ให้ราคากุนซือในประเทศตัวเอง

หลายๆครั้ง ยังมีการแทรกแซงการทำงานซึ่งหลายๆคนเจออยู่เป็นประจำ ทำให้ปริมาณคุณภาพความน่าเชื่อถือกุนซือสัญชาติไทย มักร่อยหลอลงไปเรื่อยๆ แม้ในยุคหลังไลเซนต์โค้ชที่จบหลักสูตรสมาคมฟุตบอลมากมาย แต่มันก็แค่ตำราและหน้ากระดาษ1 ใบ ที่ทำให้คนได้รู้ว่า ข้ามีดีกรี แต่สุดท้ายโค้ชคนนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับแนวคิดวิธีการทำทีมที่คุณจะสามารถประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของฟุตบอลไทยหรือไม่ โค้ชไทยบางคนมีความรู้ความสามารถแต่ไม่พิสมัยคำว่าไลเซนต์ เพราะหลายๆคนเราจะเห็นความเป็นครูที่พร่ำสอนลูกศิษย์ใ และบ้างครั้งพวกเขารู้สึกว่าการไปอบรมโค้ชมันสูญเสียช่วงชีวิตในการทำฟุตบอลไปด้วยเช่นกัน ชื่อของสมชาย ชวยบุญชุม ก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าจะมีดีกรีเอ ไลเซนต์ แต่หนุ่มวัย 65 ปี จากย่านบางนา กลับไม่ได้ยึดติดแค่ตำราเหมือนโค้ชทั่วไป แต่สิ่งที่ "น้าฉ่วย" ของคนวงการฟุตบอลไทยมีนั้นคือ การสั่งสอนนักเตะในเรื่องระเบียบวินัยตั้งแต่การฝึกซ้อม, การดูแลความฟิตสภาพร่างกาย, ที่สำคัญสิ่งที่กุนซือรายนี้มีแตกต่างจากกุนซือหลายอื่นๆในบ้านเรา นั้นคือเรื่องการเจียระไนนักเตะโนเนมนอกสายตาให้กลายเป็นสตาร์ดัง อดีตนักเตะทีมชาติในยุครอยต่อปลายยุค 70 ไปจนถึงกลางยุค 80 เขาคือผู้เล่นในตำแหน่งปีกเริ่มเล่นบอลกับสโมสรราชนาวีตามด้วยการท่าเรือแห่งประเทศไทย แน่นอนว่าทีมสิงห์เจ้าท่าคือทีมที่ทำให้ น้าฉ่วยก้าวไปติดทีมชาติไทย หลังจากเลิกเล่นก็ได้ รับงานทำเป็นพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งก็ใกล้กับบ้านพักของตัวเองย่านบางนา ทว่ากว่าที่น้าฉ่วย จะเริ่มออกสตาร์ทการทำบอลอย่างจริงจังก็เริ่มในตอนที่แกอายุ 51 ในช่วงปี 2005 (พ.ศ.2548) ตอนนั้นจังหวัดสมุทรสงครามส่งทีมลงแข่งบอลโปรลีก ดิวิชั่น 2 ทัวร์นาเมนต์ที่เป็นบอลภูมิภาคดั่งเดิมของเมืองไทย จังหวัดที่โคตรเล็กสุดในแดนสยามมีตลาดแม่กลองเป็นไฮไลท์สำหรับนักท่องเที่ยวและเป็นทางผ่านไปผ่านมาของคนที่เดินทางไปยังภาคใต้ แต่ในแง่ของฟุตบอลแล้วที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเต้ยด้านลูกหนังของแดนสยามเลย น้าฉ่วย ใช้เวลา 2 ปี ทำสิ่งมหัศจรรย์นำทีมเล็กๆ เลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 2 สู่ดิวิชั่น 1 และต่อยอดในการก้าวมาเล่นไทยลีกได้แบบเหลือเชื่อ ในปี 2008 (พ.ศ.2551) ทั้งตัวผู้เล่นที่มีในทีมคือพวกนักบอลตัวสำรองของทีมมหาวิทยาลัย กรุงเทพที่โค้ชสมชาย ทรัพย์เพิ่ม ไม่เคยชายตามองและคิดจะใช้งาน เช่น ทรงวุฒิ บัวเพ็ชร, อภินันท์ แก้วปีลา, ชุมพล บัวงาม, อรรถนพ ชัยแป้น, พัชรินทร์ สุขใส, สิทธิพันธ์ ชุมช่วย พวกนี้อาจเป็นส่วนเกินจากสโมสรอื่น แต่เมื่อจับมาร่วมตัวกันน้าฉ่วยใส่ดีเอ็นเอ ความเป็นนักสู้ลงไป ทั้งเรื่องความฟิต, วินัยเกมรับ และลูกเล่นโต้กลับ ปลาทูคะนอง จึงปักหลักเอาตัวรอดในไทยลีก 3 ปีติด ไม่้ต้องไปกังวลเรื่องนี้ตกชั้น ปี 2008 จบที่ 7, ปี 2009 จบที่ 10, ปี 2010 จบที่ 8 แต่ด้วยปัจจัยอุปสรรคการเดินทางและค่าเหนื่อยที่ไม่ลงตัว ต้นปี 2011 น้าฉ่วยลาออกจากงานประจำที่การท่าเรือพร้อมกับค่าจ้างจากสโมสรจันทบุรี เป็นเงิน 1 ล้านบาท และโยกไปทำทีม ทว่าความไม่คุ้นเคยและปัญหาภายในทีมกระต่ายป่าเขาลาออกจากการทำทีมทั้งที่ทำทีมไปได้แค่ 4 เดือน แต่ทีมไม่เฉียบใกล้กับการเลื่อนชั้นสู่ไทยลีกเลย หลังจากพักไม่รับงานคุมทีมใดๆทั้งสิ้น น้าฉ่วยได้รับการทาบทามจากผู้บริหารสมาคมฟุตบอลฯ ให้มาทำทีมชาติ 19 ปี แต่ทว่าเขามีเวลาไม่ถึง 1 เดือน เพื่อเตรียมทีมรอบคัดเลือกชิงแชมป์เอเชีย งานที่หินสุดๆไม่มีใครกล้าหาญรับเผือกร้อนในครั้งนั้น เพราะมีเพื่อนร่วมสายคือญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นด่านหินข้างทาง แน่นอนว่าน้าฉ่วย "อุทานว่าแม่งโคตรสาหัส" เวลาที่น้อยนิดน้าฉ่วย ตั้งเปิดคัดตัวแบบโอเพ่นที่สนามเทพหัสดิน ตลกร้ายคือเด็กส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าแกคือโค้ชใหญ่ แต่สุดท้ายก็ได้นักเตะที่เข้าแก็ปเหมาะกับแท็คติกตัวเอง เช่น ปกรณ์ เปรมภักดิ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, นฤบดินทร์ วีระวัฒโนดม, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และ ประสบความสำเร็จในการไปขอตัว ชนาธิป สรงกระสินธ์จากบีอีซี เทโรฯ เด็กทั้งหมดที่อยู่ในโอวาทน้าฉ่วย รับใบสั่งคือเล่นง่ายๆรับให้แน่นหาจังหวะรอโต้กลับ ถ้ามีจังหวะสกอร์จากการยิงไกลก็ต้องยิงไปก่อน สุดท้ายทีมชุดนั้ปราบเกาหลีใต้ 1-0 และยันเสมอญี่ปุ่น 0-0 เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มอีได้เหนือความคาดหมาย ไปรอบสุดท้ายปี 2012 ที่ยูเออี ทว่าด้วยความที่น้าฉ่วยเป็นคนพูดจาตรงๆและไม่ชอบก้มหัวให้ใคร เป็นลูกผู้ชายใจนักเลง รักศักดิ์ศรี ทำให้เขาโดนปลดออกจากการทำทีมทันที เหตุผลคือไปตัดตัวนักบอลที่เป็นเด็กฝากของผู้บริหารสมาคมชุดนั้น หลังจากนั้นชีวิตน้าฉ่วยพเนจรไปเรื่อยกับหลายสโมสร ทั้งทีทีเอ็ม เชียงใหม่, สมุทรสงคราม, เชียงใหม่ เอฟซี, การท่าเรือ, สุโขทัย และราชนาวี ต่อให้ทำทีมดีแค่ไหนแต่ด้วยองค์ประกอบที่ทำได้แค่บอลเน้นรับรอโต้ หวังผลการแข่งขัน แต่ไม่ประทับใจคนดู แถมยังโดนค่อนขอดจากผู้บริหารว่า คุณมันแค่โค้ชที่ทำทีมได้แค่หนีตกชั้น แต่ยกระดับทีมไม่ได้ เมื่อเคมีมันไม่ลงตัวจึงทำให้ น้าฉ่วย ทำทีมไหนไม่ยืดยาวเสียเลย ค่าเฉลี่ยของพี่จึงทำทีมได้แค่ 10 เดือนต่อ 1 ทีมเท่านั้น จนกระทั่งมาลงเอยกับศรีสะเกษ ในช่วงกลางปี 2018 ซึ่งตกชั้นมาเล่นในดิวิชั่น1 หรือไทยลีก 2 โจทย์ของผู้บริหารธเนศ เครือรัตน์ คือต้องการให้ทีมเลื่อนชั้นกลับสู่ไทยลีก โค้ชสมชาย ต้องปรับสไตล์การทำทีมของตัวใหม่ที่เขาไม่เคยทำมาตลอดชีวิต นั้นคือบอลเกมรุกบุกแหลกเต็มสูบ แม้ความคาดหวังสูงแต่เม็ดเงินการทำทีมน้อยนิด น้าฉ่วย จึงไปหยิบลูกศิษย์เก่าตัวเองที่หมดสัญญาและค่าเหนื่อยไม่แพงมาร่วมทีม11 ชีวิตผสมผสานกับแข้งนอกและนักเตะชุดเดิมลูกหลานคนศรีสะเกษ ปัจจัยเรื่องผู้เล่นอาจจะไม่ใช่เกรดเอฝีเท้าเลื่องชื่อในไทยลีก แต่สิ่งที่ "น้าฉ่วย" ทำได้เหนือกว่าโค้ชไทยรายอื่นๆ คือการปลุกเสกนักเตะโคตรธรรมดาในสายตาผู้คนทั่วไป ให้เปล่งประกาย โดยเคล็ดลับอยู่ที่การใส่ใจเรื่องฟิตเนสกายภาพ, หลักโภชนาการลงไปให้แก่ผู้เล่น ซึ่งเป็นแท็คติกที่ชีวิตเขาไม่เคยทำในการเป็นโค้ชตลอดระยะเวลา 14 ปี คือการทำบอลเกมรุกบุกแหลกเต็มสูบ ในระบบ 4-4-2 สลับกับแผน 4-3-3 เน้นการขึ้นเกมริมเส้น จากทีมที่ไม่เคยอยู่ในสายตาสื่อมวลชนในการลุ้นเลื่อนชั้น "น้าฉ่วย" นำทีมเกาะหัวตารางได้แบบน่าคารวะ แต่เหมือนทีมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด กูปรีอันตราย เจอคดีความเก่าค้างค่าเหนื่อยผู้เล่นโดนสมาคมฟุตบอลและบริษัทไทยลีกตัด 12 แต้ม จากทีมที่กำลังไปได้สวยในการลุ้นเลื่อนชั้น กลับหล่นมาอยู่กลางตาราง แฟนบอลกูปรี, ผู้บริหารสโมสรรวมถึงตัวน้าฉ่วยถอดใจไปแล้วในทีแรก ใครจะไปคิดโค้ชมากประสบการณ์ปลุกเสกความเชื่อมั่นให้นักเตะ ศรีสะเกษเดินหน้าไล่ฆ่าคู่แข่ง 11 เกมจาก 15 นัดไทยลีก2 และไม่แพ้ใครเลย หลุดเสมอไป 4 เกม ทีมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3 ในไทยลีก 2 เกาะกลุ่มเลื่อนชั้นอีกครั้ง แม้สถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานและหลายๆครั้งกูปรีโดนกลั่นแกล้ง แต่ทว่าโมเมนตัมไม่ได้เล่นตลกทำร้ายพวกเขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามศรีสะเกษ กลับมุ่งมุ่นกับเรื่องในสนาม พวกเขาเหลือ 2 เกมสุดท้าย คือการเจอเปิดบ้านพบบีจี และเยือนไทยฮอนด้า แน่นอนว่า จากคำประกาศิตของน้าฉ่วยคือการนำทีมชนะ เพื่อปิดจ็อบเลื่อนชั้นสู่ไทยลีก หลายๆครั้งคนเราอาจมักโดนลูบคนกลั่นแกล้งสาระพัด แต่อุปสรรคชีวิตมนุษย์เราบางครั้งมีเอาไว้เพื่อทดสอบชีวิตและหัวจิตหัวใจเราของคนในยามยากลำบาก และ"น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ข้าแข็งแกร่งกว่าที่คนทั่วไปคิด

เอ็มเร่

[email protected]

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline