logo-heading

จากทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อซีซั่นก่อน เกือบทำลายสถิติมากมายในการซิวโทรฟี่ครั้งนั้น แต่ใครจะเชื่อล่ะครับว่า ลิเวอร์พูล ชั่วโมงนี้ กลายเป็นขนมกรุปสำหรับคู่แข่งไปแล้ว โดยเฉพาะการเฝ้ารังแอนฟิลด์ เมื่อล่าสุดพ่ายแพ้คาบ้านให้กับ เชลซี ไปอีก 0-1

กลายเป็นว่า ลิเวอร์พูล สร้างประวัติศาสตร์เช่นกัน แต่เป็นสถิติย่ำแย่ เมื่อแพ้ในถิ่นแอนฟิลด์ 5 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรก พร้อมถูกถีบร่วงไปอยู่อันดับ 7 ขณะที่ เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ดีวันดีคืนจริงๆ เป็นอีกหนึ่งนัดที่เก็บคลีนชีตสำเร็จ และ นักเตะทุกคนโชว์ฟอร์มได้ดีเหลือเกิน เกมนี้มีอะไรที่ต้องพูดถึง ไปรับชมกันครับพี่น้อง

- แวร์เนอร์ ทักทายหวาดเสียว

ช่วงสักประมาณ 20 นาทีแรก เป็นทางทีมเยือน เชลซี ที่ครองบอลได้มากกว่าเจ้าบ้าน และ มีโอกาสที่จะยิงขึ้นนำ ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะ ติโม แวร์เนอร์ ที่มีโอกาสประมาณ 2 ครั้งในช่วงต้นเกม ลูกแรกเป็นช็อตที่เจ้าตัวได้ซัดเต็มข้อ แต่บอลหลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนอีกลูกบอกเลยว่าเหน่งๆ เมื่อเป็นความผิดพลาดของ ติอาโก้ ที่กะจังหวะบอลพลาด ปล่อยให้บอลลอยข้ามหัวไปถึง แวร์เนอร์ ที่วิ่งมาเก็บตกตรงบริเวนจุดโทษ ตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลย นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น แต่ แวร์เนอร์ ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยผ่านไป เมื่อเจ้าตัวตัดสินใจใช้ท่า "กังฟู คิก" หวังกระดกข้ามหัว อลิสซอน แต่ทว่าน้ำหนักลืมชั่งมาตอนเช้า เพราะบอลเบาไปเข้ามือ อลิสซอน แบบสบายๆ

VAR ช่วยชีวิต ลิเวอร์พูล

ในช่วงที่ ลิเวอร์พูล ยังตั้งเกมไม่ได้ เกมบุกของ เชลซี ก็เล่นงานใส่อีกครั้ง คราวนี้เป็นการโยนยาวข้ามแนวรับ หงส์แดง โดยเป็น ติโม แวร์เนอร์ ที่หลุดกับดักล้ำหน้า สปีดไปถึงบอลก่อน อลิสซอน เบ็คเกอร์ ก่อนจะกระดกข้ามตัว และ วิ่งเข้าไปยิงแบบง่ายๆ ส่งบอลเข้าไปซุกตาข่ายได้เรียบร้อย ท่ามกลางความสุขของสาวก "สิงห์บลูส์" .. เหล่า เดอะ ค็อป ที่กำลังครุ่นคิดในใจว่า "พวกกูจะแพ้คาบ้าน 5 นัดติดเลยเหรอ ?" แต่กระนั้นจากภาพช้าเหมือนปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นจากภวังค์ เนื่องจากมันก้ำกึ่งว่า ติโม แวร์เนอร์ อาจจะอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า เพราะยืนไลน์เดียวกันกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้าย ลิเวอร์พูล ปรากฏว่า VAR ต้องมีเส้นสมมติขึ้นมา เพราะมันเหลื่อมล้ำกันแค่แขนเสื้อ หลังจากทีมงานผู้ตัดสิน ใช้กราฟฟิควัดให้ผ่านกันจะๆหน้าจอ ก็ชัดเจนว่าเป็นลูกล้ำหน้า ทำให้ลูกยิง แวร์เนอร์ ถูกริบสกอร์กลับ กลายเป็นแฟนบอล สิงห์บลูส์ ดีใจเก้อ ขณะที่กองเชียร์ หงส์แดง เป่าปากแบบโล่งอก

- โอกาสทองของ มาเน่ !!!

หลังจากี่ ลิเวอร์พูล ปล่อยให้ เชลซี ทักทายอยู่หลายดอก จนเกือบเป็นฝ่ายตามหลัง แต่มี VAR ช่วยชีวิตเอาไว้ คราวนี้เป็น หงส์แดง ที่มีโอกาสขึ้นนำแบบสุดๆ และ เป็นจังหวะที่จะแจ้งมากที่สุดแล้วในช่วง 45 นาทีแรก ช็อตนั้นต้องชมการจ่ายบอลของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เปิดด้วยซ้ายจากทางกาบขวา บอลโด่งโค้งๆเข้ามาในกรอบเขตโทษ เหมือนเอามือจับบอลไปวางตรงหน้าของ ซาดิโอ มาเน่ แต่กระนั้นด้วยความที่บอลมันลอยโด่ง ทำให้ าเน่ ไม่มีเวลาคิดเยอะ ถ้าจับเอาบอลลง อาจจะโดนสกัดไว้ได้ มาเน่ ตัดสินใจกะจะยิงจังหวะเดียวแบบไม่ต้องจับ แต่ด้วยความที่หน้าแหงนมองขึ้นฟ้าเพื่อมองบอล ทำหน้าจังหวะนี้ หวดลมแบบเต็มดอก ซัดไม่โดนบอลซะงั้น เรียกว่าพลาดโอกาสทองไปแบบน่าเสียดายจริงๆ

- เชลซี เอาจนได้ !

ช่วงท้ายครึ่งแรก นับว่าทั้งคู่เปิดเกมรุกใส่กัน เพื่อหวังจะทำประตูขึ้นนำให้ได้ แต่กระนั้นกลายเป็น สิงห์บลูส์ ที่ออกนำไปก่อน 1-0 ในนาทีที่ 42 ซึ่งเป็นจังหวะที่ สิงห์บลูส์ สามารถตัดบอลจากเกมรุก หงส์แดง ไว้ได้ ก่อนจะใช้แท็คติคโต้กลับเร็วแค่ไม่กี่จังหวะในการเข้าทำ บอลเริ่มจาก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เปิดจากเกือบๆกลางสนาม เปลี่ยนแกนมาด้านซ้ายให้กับ เมสัน เมาท์ ที่ยืนโล่งๆ เพราะ เทรนท์ อาร์โนลด์ หลุดตำแหน่ง ซึ่งเจ้าหนูรายนี้ กำลังมั่นใจสุดๆ กล้าลากกล้าเลี้ยงใส่ ฟาบินโญ่ รวมถึง เทรนท์ ที่วิ่งลงมาบีบกดดัน ก่อนที่ เมาท์ จะโยกหลอกทั้งคู่ เลี้ยงจากซ้ายตัดเข้าใน หาพื้นที่จนได้ระยะส่องด้วยขวา บอลผ่านบล็อคผู้เล่น หงส์แดง พุ่งไปเสียบเสาไกลอย่างเฉียบคม ชนิดที่ อลิสซอน พุ่งสุดตัวก็ไปไม่ถึง เรียกว่า เชลซี ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะจริงๆ

- เชลซี เกือบบวกลูก 2

เริ่มต้นครึ่งหลัง ไม่ได้มีทีท่าว่า ลิเวอร์พูล จะเหนือไปกว่า เชลซี แต่อย่างใด และเป็น สิงห์บลูส์ ต่างหาก ที่มีโอกาสจะยิงเม็ด 2 หลายต่อหลายหน โดยเฉพาะจากจังหวะที่ขึ้นมาทางด้านซ้าย เบน ชิลเวลล์ ยิงจังหวะแรกไปติดเซฟ ก่อนจะกระดอนมาเข้าทาง ฮาคิม ซิเย็ค ยิงซ้ำผ่านมือผู้รักษาประตูไปแล้ว แต่มีทาง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ช่วยชีวิตเอาไว้ ไม่อย่างนั้น หงส์แดง ลำบากกว่านี้อีก

- สำรอง ลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรเลย

การเปลี่ยนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สร้างความมึนงงให้กับแฟนบอลทีมตัวเองเหลือเกิน จริงอยู่ที่เลือก ดิโอโก้ โชต้า ลงมาหวังเป็นตัวสำรองทีเด็ด พร้อมๆกับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน แต่การเอา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ออก และ เลือกเก็บ ซาดิโอ มาเน่ เอาไว้ คือคำถามที่คาใจมากๆ เพราะ มาเน่ ไม่อาจสร้างพิษสงอะไรได้เลย ขณะที่ ซาลาห์ ยังพอมีอะไรมากกว่า ส่วน โชต้า หลังจากร้างสนามไปนานตั้งแต่เดือนธันวาคม ที่ผ่านมา ก็ดูไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แค่โอกาสง้างเท้ายังแทบไม่เห็น การต่อบอลกับเพื่อน ก็ไปคนละทิศคนละทาง เรียกว่าลงมาก็ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เช่นกัน ถ้าจะเอาให้เห็นภาพเรื่องความทื่อของแนวรุก ลิเวอร์พูล ก็คือตลอด 80 นาที พวกเขาซัดไม่ตรงกรอบสักครั้งเดียว ซึ่งต้องรอถึงนาที 80 กว่าๆ ถึงจะนับ 1 เรื่องการตรงกรอบ จากลูกโขกตรงตัว เอดูอาร์ เมนดี้ สรุปง่ายๆว่าครึ่งหลัง เชลซี มีโอกาสมากกว่า ลิเวอร์พูล หลายครั้งมากจริงๆ ซึ่งถ้าไม่มี อลิสซอน ช่วยเอาไว้อีกราวๆ 1-2 เซฟ สกอร์ก็คงจะไหลไปมากกว่านี้ แต่กระนั้นแค่ประตูของ เมสัน เมาท์ ก็เพียงพอทำให้ สิงห์บลูส์ บุกมาปราบ หงส์แดง ถึงถิ่นแอนฟิลด์ 1-0 เก็บ 3 แต้ม กลับคืนสู่ท็อปโฟร์อีกครั้ง

ฮาย ฮาวดี้

logoline