logo-heading

แต่กระนั้นก็ถือเป็นความอึดอัดของฝั่งเจ้าบ้าน เพราะกว่าจะมาประตูได้ เล่นเอาลุ้นเยี่ยวเหนียวเหมือนกัน โดยมีเรื่องของโชคดวงเข้ามาเกี่ยวข้อง จากนั้นก็ทำนบแตกทันที

โดย ลิเวอร์พูล ทั้งเก่ง ทั้งเฮง จากการเก็บชัยชนะนัดนี้ เอาเป็นว่าประเด็นหลักๆมีอะไรเกิดขึ้น ไปติดตามกันดีกว่าครับ โดยเฉพาะ ซาดิโอ มาเน่ หัวหอก หงส์แดง ที่สามารถทำประตูได้อีกแล้ว

- ครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ยิงยังไงก็ไม่เข้า

ตลอด 45 นาทีแรก เป็นทาง ลิเวอร์พูล ที่พับสนามบุกใส่ บียาร์เรอัล อยู่ฝั่งเดียว เนื่องด้วย อูไน เอเมรี่ กุนซือใหญ่ เรือดำน้ำสีเหลือง สั่งให้ลูกทีมเล่นในระบบ "จอดรถบัส" คือขอแค่รับเท่านั้น พยายามจะต้านทานเอาไว้ให้ได้ เพราะถ้าเสียประตูน้อยที่สุด ก็ยังมีโอกาส ในการกลับไปเล่นที่บ้านของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การแพ็คเกมรับของ บียาร์เรอัล มีช่องโหว่ให้ ลิเวอร์พูล เข้าทำเต็มไปหมด โดยครึ่งแรก ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงมากถึง 12 ครั้ง ซึ่งเป็นโอกาสที่เยอะมาก เรียกว่ามาทุกทิศทุกทาง ทั้งเจาะตามช่อง, ครอสด้านข้าง, ใช้ลูกตั้งเตะ หรือ ลูกยิงไกล แต่กลายเป็นนักเตะ หงส์แดง ที่ยิงนกตกปลากันไปเอง รวมถึงติดกำแพงมนุษย์ของ บียาร์เรอัล ที่มักตามมาสกัดกั้นจังหวะสุดท้ายได้ทันเสมอ พอยิงผ่านบล็อค ลูกของ ติอาโก้ อัลคันตาร่า ก็พุ่งไปชนสามเหลี่ยมอีก

ถ้าถามว่าครึ่งแรก บียาร์เรอัล มีโอกาสยิงไหมนะเหรอ .. แทบไม่มีเลยครับ ซัดตรงกรอบคือ 0 ครั้ง จากการยิง 1 ครั้งเท่านั้น โดย อลิสซอน เบ็คเกอร์ ไม่มีงานให้ต้องออกแรงเลยสักนิดเดียว ประหนึ่งว่ายืนชมเกมเหมือนกับแฟนบอล เพียงแค่ได้สิทธิพิเศษอยู่ในสนามแค่นั้นเอง

- ประตูแรกมา ประตูสอง ก็ตามมา

เริ่มครึ่งหลังไปเกือบๆ 10 นาที เชื่อว่าสาวก เดอะ ค็อป อาจจะต้องรู้สึกอึดอีดใจบ้างแหละครับ ว่าจะเจาะ บียาร์เรอัล ยังไงดี เพราะต่อให้ทำช่องได้ มีโอกาสจบสกอร์ แต่จังหวะสุดท้าย ก็มักติดบล็อคคู่แข่งอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่ เรือดำน้ำสีเหลือง สามารถเขี่ยทั้ง ยูเวนตุส และ บียาร์เรอัล มาได้ ก็จากเกมรับอันเหนียวแน่นนี่แหละครับ

แต่กระนั้น เครื่องจักรสีแดง ทำงานไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย หวังทำประตูขึ้นนำให้ได้ เพื่อกุมความได้เปรียบ สุดท้ายความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะ ลิเวอร์พูล มาได้ประตูที่ต้องการ โดยมาพร้อมกับดวงๆจริง

เมื่อ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้บอลจากริมเส้นฝั่งขวา จะเปิดเข้ามาในกรอบเขตโทษ แต่บอลเจ้ากรรม ไปแฉลบเท้า เปร์วิส เอสตูปิญาน แบ็กซ้าย บียาร์เรอัล เปลี่ยนทางไซร้เข้าประตู ชนิดที่ เกโรนิโม รุลลี่ ผู้รักษาประตู เสียเหลี่ยมปัดไม่ออก ทำให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 นาที 53

ให้หลังเพียงแค่ 2 นาทีต่อมา เกมนี้ก็จบอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อประตูแรกมา เขื่อนของ บียาร์เรอัล ก็แตกทันที โดย ลิเวอร์พูล มาได้ประตูที่ 2 จากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แทงหลุดกับดักล้ำหน้าไปให้กับ มาเน่ จิ้มสวนตัว เกโรนิโม รุลลี่ เข้าไป 2-0 โดยจังหวะนี้ไม่ออฟไซด์ เนื่องจาก VAR ตีเส้นให้เห็นว่า มาเน่ กับ กองหลังคู่แข่ง อยู่ในไลน์เดียวกันเป๊ะๆ

จากนั้น ลิเวอร์พูล พยายามบุกต่อเพื่อเอาประตูที่ 3 ให้ได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ โดยช่วงท้ายเกมนักเตะ หงส์แดง ไม่ได้โหมกระหน่ำเพื่อเอาประตูแล้ว มีการเคาะบอลเพื่อฆ่าเวลา เหมือนพอใจกับผลสกอร์ 2-0 ที่ได้รับมา ซึ่งครึ่งหลัง บียาร์เรอัล ก็แทบไม่มีโอกาสได้ยิงอยู่ดี .. เรียกว่าถ้าจะหาจังหวะไหนที่ อลิสซอน ออกแรงเยอะสุด คงเป็นช็อตที่วิ่งดีใจ หลังจากเพื่อนๆทำประตู นั่นแหละครับ

- มาเน่ ฟอร์มร้อนแรงเกินห้ามใจ

หากมาชำแหละ ผลงานส่วนบุคคล ต้องบอกว่าชั่วโมงนี้ ซาดิโอ มาเน่ คือหัวหอกที่กำลังร้อนแรงมากที่สุดของ ลิเวอร์พูล เลยล่ะครับ โดยในเกมเอาชนะ บียาร์เรอัล 2-0 นั้น เจ้าตัวก็เป็นคนยิงปิดกล่องให้กับ หงส์แดง จากการแอสซิสต์ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

เท่ากับว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ ซัดไปแล้ว 4 ประตู ซึ่งแน่นอนว่าสถิติแบบนี้มันธรรมดาไปสำหรับเจ้าของแชมป์ แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ เพราะถ้าหากนับตั้งแต่ที่ มาเน่ ได้เข้าร่วม ยูซีแอล รอบน็อคเอาท์ กับ ลิเวอร์พูล เขาซัลโวไปทั้งสิ้น 14 ประตู นับเป็นจำนวนมากสุดของนักเตะชาวแอฟริกัน เทียบเท่ากับ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ตำนานหัวหอก เชลซี ที่เคยทำไว้

นอกจากนี้ จากการลงเล่น 7 นัดหลังสุด ทุกรายการของ มาเน่ เขายังได้ระเบิดฟอร์มอันสุดยอด ด้วยการยิงไป 6 ประตู นับว่ามาถูกที่ ถูกเวลาจริงๆ เพราะในช่วงที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปืนฝืด ก็มีพ่อณเดชน์แห่งแอนฟิลด์ นี่แหละครับ ที่เป็นตัวชูโรงให้กับ หงส์แดง

- โอกาสเข้ารอบของ บียาร์เรอัล ?

ตอนนี้แฟนบอล หงส์แดง ดูท่าจะมั่นใจเหลือเกินว่า ทีมรักพวกเขาได้ก้าวขาข้างหนึ่ง ไปรอที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสังเวียนนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แล้ว เพราะ 2-0 ถือเป็นสกอร์ที่ห่าง และ ชื่อชั้นของ ลิเวอร์พูล ก็ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีก 90 นาที ที่สนาม เอสตาดิโอ เด ลา เซรามิก้า รังเหย้าของ เรือดำน้ำสีเหลือง ดังนั้นทุกอย่างยังไม่จบ เพราะฟุตบอลลูกกลมๆสามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้ โดยสถิติการเล่นในบ้านของ บียาร์เรอัล ไม่ธรรมดาเลยนะครับ เนื่องจาก 12 เกมที่ผ่านมาทุกรายการ ไม่เคยแพ้ให้กับใคร ชนะไปถึง 8 นัด และ เสมอแค่ 4 นัด เท่านั้น หนึ่งในนั้นคือการเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค มาได้ 1-0

แต่กระนั้นว่ากันตามตรง ลิเวอร์พูล มีโอกาสเข้ารอบมากกว่า ซึ่งในรอบแบ่งกลุ่มเคยแพ้คาบ้านให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้ว 0-2 ดังนั้นลูกทีมของ อูไน เอเมรี่ ต้องงัดฟอร์มเพอร์เฟ็คท์ออกมาเพื่อหวังโค่น หงส์แดง ให้ได้ โดยต้องห้ามเล่นแผนรถบัส แบบนัดนี้ เนื่องจากโจทย์คือต้องทำเกมบุก และ ยิงประตูให้ไว้ เพื่อกลับมาสู่เกมให้เร็วที่สุด สุดท้ายใครจะเข้ารอบนั้น มารอดูกันในคืนวันอังคารที่ 3 พฤษภาคม นี้

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline