logo-heading

ในรายของ ปีเตอร์ แฟนบอลรู้ถึงความเก่งกาจของเขาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อครั้งสวมเครื่องแบบของ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมกวาดแชมป์ไปเชยชมเป็นว่าเล่น หรือในนามทีมชาติเดนมาร์กก็สามารถสร้างเทพนิยายคว้าแชมป์ยูโรเมื่อปี 1992 มาครองได้แบบเซอร์ไพรส์

ฉะนั้นไม่แปลกเมื่อลูกของเขาเติบโตขึ้นมาในถนนสายเดียวกันย่อมถูกนำไปเปรียบเทียบว่าจะสามารถ
เจริญรอยตามคุณพ่อได้หรือไม่ แน่นอนนี่คือโจทย์กองโตของ แคสเปอร์ มันไม่ง่ายเลยสักนิด เพราะกำแพงของคุณพ่อที่ตั้งไว้นั้นสูงเหลือเกิน และยากมากที่จะไต่ไปให้ถึงในระดับกล่าว

ทว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขามันไม่ใช่การเดินตามรอยทุกอย่างของคุณพ่อ แต่มันคือการขีดเขียนเส้นทางของตัวเองก่อนที่สุดท้าย 2 มือของเขาจะพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำมันได้ และเกียรติยศที่มีมันก็ไม่ต่างจากผู้บังเกิดเกล้าเลยสักนิดเดียว

จุดเริ่มต้นของหนุ่มแก้มแดง

จุดเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังของ แคสเปอร์ เจ้าตัวฝึกหัดศาสตร์การป้องกันประตูกับทีมในโปรตุเกสอย่าง เอสโตริล ต่อด้วย อูเร่ ก่อนที่ในปี 2002 จะได้โอกาสครั้งสำคัญในการย้ายไปอยู่ในทีมอคาเดมี่ของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งเขาใช้เวลาอยู่ตรงนั้นนานถึง 4 ปีเต็มๆ กว่าจะได้รับโอกาสขึ้นไปฝึกซ้อม และลงสนามกับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก

ทว่าด้วยอายุ และประสบการณ์ทำให้เขาเองไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกท้ายๆ ของทีมเลยก็ว่าได้ ทำให้ในช่วงระหว่างปี 2005-2007 แคสเปอร์ ถูกปล่อยยืมตัวไปถึง 3 ครั้งกับ ดาร์ลิ่งตัน, บิวรี่ และ ฟัลเคิร์ก
 
แม้หลังจากนั้นจะกลับมาอยู่กับทีมแต่โอกาสก็ไม่ค่อยหล่นมาหาตัวเขามากนัก ทำให้สัญญายืมตัวกับ แคสเปอร์ กลายเป็นเพื่อนสนิทที่เจอกันในแทบทุกช่วงตลาดนักเตะ ก่อนที่ในช่วงซัมเมอร์ 2009 จะเป็น น็อตต์ส เคาน์ตี้ ทีมในลีก ทู ดึงไปร่วมทีมแบบถาวร แม้จะเป็นการถอยหลังลงมาเล่นในลีกรองที่ไม่คุ้นเคยแต่อย่างน้อยคือการเปิดโอกาสให้ตัวเอง แม้ฉากจบอาจไม่สวยเนื่องด้วยมีเรื่องของเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม

ซึ่งกับ น็อตต์ส เคาน์ตี้ เขาอยู่ได้เพียงซีซั่นเดียวก็ถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด มาสอยตัวไปเสริมแกร่ง และก็เช่นเคยค้าแข้งกับทีมได้ฤดูกาลเดียวชีพจรก็ลงเท้าอีกครั้ง และเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนั้นศักดินาเป็นเพียงในศึก แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ใช้เงินราว 1 ล้านปอนด์ ดึงตัวไปร่วมทีม

ทว่าใครจะรู้นั้นคือก้าวเดินแห่งความสำเร็จ และการขีดเขียนตำนานอีกมากมายจากตัวผู้ชายคนนี้กับสโมสรแห่งนี้

สดุดี แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของ เลสเตอร์ ซิตี้

วันที่เถลิงบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก

หนึ่งในโมเมนต์ที่เชื่อว่าแฟนบอลทั่วโลกคงจำไม่รู้ลืมคือการหักปากกาเซียนทุกด้ามของ เลสเตอร์ ในการเถลิงบัลลงก์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาครองได้สำเร็จ ชนิดที่ว่าแม้แต่ร้านรับพนันแบบถูกกฎหมายที่ว่าแน่ออกอัตราต่อ-รอง มาให้พวกเขาไกลริบจากคำว่าแชมป์ถึง 5,000/1

ซึ่งในซีซั่นดังกล่าว แคสเปอร์ คือส่วนสำคัญในเกมรับเป็นอย่างมาก รังสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และเก็บทุกเม็ด ลงสนามทุกวินาทีในศึกพรีเมียรลีกตั้งแต่เสียงนกหวีดแรก จนกระทั่งเสียงเป่าลมสุดท้ายของผู้ตัดสินในวันชูโทรฟี่แชมป์เหนือหัว

สถิติของ แคสเปอร์ ในฤดูกาลดังกล่าว 38 เกม เจ้าตัวเสียไปเพียง 36 ประตู เก็บคลีนชีตได้มากถึง 15 นัด มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีกเท่ากับ โจ ฮาร์ท, ดาบิด เด เคอา และเป็นรองเพียง ปีเตอร์ เช็ก รายเดียวเท่านั้น

แน่นอนนั้นคือโทรฟี่แชมป์ครั้งประวัติศาสตร์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ และความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ แคสเปอร์ ในการประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ถ้วยเดียวกันกับคุณพ่อ แม้ในเรื่องของจำนวนครั้งจะไม่อาจเทียบชั้นได้ แต่ในจุดที่เขายืนอยู่นั้นองค์ประกอบทั้งหมดมันยากกว่า ปีเตอร์ ทุกรูขุมขน

ฉะนั้นไม่แปลกที่แชมป์ครั้งนี้จะสามารถพูดได้เต็มปากว่าคือความสำเร็จของครอบครัว ชไมเคิ่ล อย่างแท้จริง

เอฟเอ คัพ สมัยแรกกับสโมสร

ประวัติศาสตร์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาไม่เคยเอื้อมมือไปสัมผัสแชมป์บอลถ้วยที่เก่าแก่อย่าง เอฟเอ คัพ ได้เลย จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันที่มี แบรนดอน ร็อดเจอร์ส คุมทัพ ซึ่งนักเตะในชุดดังกล่าวบางคนก็ยังคงมาจากชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 2015-16 ไม่ว่าจะเป็น เจมี่ วาร์ดี้, มาร์ค อัลไบรตัน หรือ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล

ซึ่งในฤดูกาล 2020-21 ในบอลถ้วยเอฟเอ คัพ แคสเปอร์ ได้รับโอกาสลงสนาม 4 เกม ซึ่งสามารถเก็บ
คลีนชีตได้ถึง 3 นัด ที่พบกับ สโต๊ค ซิตี้, เซาแธมป์ตัน และ เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ

ด้วยผลงานแบบนี้คงไม่มากเกินที่จะบอกว่าเชาคือหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่พาทีมกรุยทางจนสามารถเถลิงบัลลังก์แชมป์ได้สำเร็จ อีกทั้งยังจารึกชื่อของตนเองด้วยความสำเร็จที่คว้ามาได้ทั้งในศึกพรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพ 

ใช่ครับ... มันไม่ง่ายเลยสักนิดที่เกียรติประวัติดังกล่าวจะถูกครอบครองด้วยนักเตะสักคนหนึ่ง และยิ่งกับทีมที่ไม่ใช่หัวแถวของประเทศมันทวีคูณความยากเข้าไปอีก แต่นั่นมันไม่ใช่กับนายทวารชาวเดนมาร์กผู้นี้

สดุดี แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของ เลสเตอร์ ซิตี้

ตำนานของสโมสร

11 ปี กับ 1 สโมสร ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากพอสมควร และยิ่งเป็นนักเตะที่สร้างความสำเร็จให้ทีม ฉะนั้นถ้าจะยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในตำนานของ เลสเตอร์ ซิตี้ ก็คงไม่แปลก

วันที่ย้ายเข้ามาสู่ทีมด้วยวัย 25 ปี สู่วันที่โบกมือลากลายเป็นนักเตะระดับซีเนียร์เกียรติประวัติที่น่าจดจำ สร้างเรื่องราวมากมายให้กับสโมสรแห่งนี้จนกลายเป็นเทพนิยายที่ถูกกล่าวขานไปอีกหลายปี

แม้ฉากสุดท้ายของชีวิตลูกหนังจะไม่ได้ลงเอยโดยที่มีตรา "สุนัขจิ้งจอก" อยู่บนหน้าอก แต่เชื่อเหลือเกินเมื่อเอ่ยถึงชื่อของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ตัวเขาฟอร์มยูนิฟอร์มของ เลสเตอร์ คงเป็นสิ่งแรกๆ ที่นึกขึ้นได้

เข้ามาในฐานะนักเตะธรรมดาคนนึง จากไปในฐานะตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสร

จากประโยคแรกที่กล่าวไว้ข้างต้นวันนี้ ชไมเคิ่ล คนลูกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเส้นทางของตัวเองก็สวยงาม และยิ่งใหญ่ไม่แพ้ ชไมเคิ่ล ผู้พ่อเลยสักนิดเดียว

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline