logo-heading

โดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นคนสำคัญ ด้วยการยิง 1 จ่าย 1 ส่วน ดาร์วิน นูนเญซ มีโอกาสมากมาย แต่ยังทำไม่ได้เหมือนเดิม เรียกว่าสาวก เดอะ ค็อป ต้องกุมขมับอีกแล้ว

แต่ชัยชนะนัดนี้ มันได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างดีที่ของ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะเรื่องการเล่นท็อปโฟร์ เอาเป็นว่าเกมนี้ มีอะไรให้พูดถึง และ มีสถิติอะไรที่น่าสนใจ ไปติดตามกันครับ

- บังโม ยังเป็นทุกอย่าง ของ ลิเวอร์พูล

ไม่ว่าใครจะย้ายออกไป หรือ จะมีนักเตะคนไหนบาดเจ็บก็ตาม แต่กระนั้น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงอยู่ และ เป็น เดอะ แบก ของ ลิเวอร์พูล อยู่เหมือนเดิม เพราะในเกมนี้ ก็เป็น อียิปต์ คิง ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งช่วยให้ ลิเวอร์พูล เก็บ 3 คะแนนสำคัญ

ลูกแรกที่ หงส์แดง ทำได้ เป็นการจ่ายบอลอันสุดสวยของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดีดไซด์ก้อยจากกลางสนาม ไปให้กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ทางด้านขวา ก่อนจะไหลถวายพานแบบงามๆไปให้กับ โม ซาลาห์ ยิงไปง่ายๆ ให้ทีมขึ้นนำ 1-0

จากนั้น โม ซาลาห์ ก็เป็นคนแอสซิสต์ ด้วยการตวัดมาให้กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยิงเล่นทางเสียบมุม ส่งให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ซึ่งทำให้ บังโม มีส่วนร่วมในการทำประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 125 ประตู กับอีก 50 แอสซิสต์ มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลของ หงส์แดง เป็นรองเพียงแค่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกัปตันทีม ที่เคยยิงไป 120 ลูก กับอีก 92 แอสซิสต์

- โรเบิร์ตสัน ขึ้นเป็นกองหลัง
แอสซิสต์เยอะสุดตลอดกาล

ใครจะเชื่อล่ะครับว่า นักเตะตกชั้นจาก ฮัลล์ ซิตี้ ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัวเพียงแค่ 8 ล้านปอนด์ และ น่าจะเป็นเพียงตัวสำรอง สมัยที่ อัลเบร์โต้ โมเรโน่ ยังคงปักหลักเป็นตัวจริง จะกลายเป็นนักเตะที่คุ้มแสนคุ้มได้เพียงนี้

เพราะ ร็อบโบ้ ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่บนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หลังเป็นคนแอสซิสต์ให้กับ บังโม ยิงขึ้นนำ 1-0 ซึ่งการแอสซิสต์ลูกนี้ ส่งผลให้เจ้าตัวจ่ายให้เพื่อนทำประตูไปแล้ว 54 ครั้ง จากการลงเล่นแค่ 231 นัด รวม ฮัลล์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล แซงหน้าสถิติเดิมของ เลห์ตัน เบนส์ อดีตแบ็กซ้าย เอฟเวอร์ตัน ที่เคยทำไว้ 53 ครั้ง จากการลงเล่นถึง 420 นัด

- นูนเญซ ดีทุกอย่าง ยกเว้นจังหวะจบสกอร์

ตราบใดที่ ดาร์วิน นูนเญซ ยังคงสร้างคอนเทนต์ และ ไม่สามารถจบสกอร์ให้กับ ลิเวอร์พูล ได้ ทั้งๆที่มีโอกาสมากมาย เขาก็จะโดนล้อเลียนเรื่องการเป็น แอนดี้ แคร์โรลล์ เวอร์ชั่น 2.0 อยู่เหมือนเดิม

ซึ่งในเกมที่บุกไปชนะ แอสตัน วิลล่า 3-1 เขามีโอกาสยิงมากมายก่ายกอง โดยเฉพาะครึ่งแรก มีจังหวะแบบเนื้อๆเน้นๆ ถึง 3 ดอก แต่กลายเป็นว่าเขาไม่สามารถปิดสกอร์ให้กับ ลิเวอร์พูล ได้เลย ขนาดไม่มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ด แต่ทำให้สาวก เดอะ ค็อป โพสต์ถึงชื่อเขาบนโลกโซเชี่ยล ด้วยเรื่องของ "ความสาก"

เรื่องความขยัน, สปีดการหาช่อง เขาทำได้ดีเหมดทุกอย่าง แต่เหลือแค่จังหวะจบสกอร์เท่านั้น ที่ไม่มีความเฉียบคมเอาเสียเลย โดยมีสถิติหนึ่งระบุไว้ว่า นูนเญซ มีโอกาสทองในการจบสกอร์มากถึง 16 ครั้ง ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ แต่เปลี่ยนเป็นประตูได้แค่ 4 ลูก เท่านั้น

ไม่รู้ว่าการตกรอบ ฟุตบอลโลก 2022 แบบยิงประตูไม่ได้เลย จะส่งผลต่อกำลังใจของเขามากน้อยแค่ไหน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ ลิเวอร์พูล ก็ต้องพึ่งพาอาศัย ในช่วงที่แนวรุกพาเหรดกันบาดเจ็บ

- สเตฟาน บายเชติช ฮีโร่

ในช่วงที่ ลิเวอร์พูล โดนตีไข่แตก ถูกทาง แอสตัน วิลล่า ไล่มา 1-2 จวนเจียนจะเสียประตูตีเสมออยู่หลายครั้ง ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวสำรองลงไป โดยมีทั้ง นาบี เกอิต้า, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ ที่เซอร์ไพรส์เลยคือการเลือกส่ง สเตฟาน บายเชติช กองกลางดาวรุ่งวัย 18 ปี ลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

เพียงแค่สัมผัสบอล 2 ครั้ง หลังอยู่ในสนามแค่ 2 นาที เขาก็เป็นฮีโร่มายิงประตูตอกฝาโรงขึ้นนำ และ ชนะไปด้วยสกอร์ ซึ่งเป็นการยิงแบบโชว์ความนิ่ง หลอกว่าจะวิ่งมาซ้ำจังหวะสอง ก่อนจะแตะหลบผู้รักษาประตู ก่อนจะยิงลอดขา ไทรอน มิงส์ กลายเป็นประตูแรกของเขาบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นแมตช์ที่เจ้าหนูคนนี้ต้องลืมไม่ลง

และ จากการที่ บายเชติช มีส่วนให้ ลิเวอร์พูล เก็บ 3 คะแนน ยังช่วยให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของเขา คว้าชัยชนะในวัน บ็อกซิ่ง เดย์ 5 ครั้งติดต่อกัน แบบไม่เคยแพ้ผู้ใด โดยยิงไปได้ถึง 17 ประตู และ เสียแค่ 1 ลูก ซึ่งก็เป็นเสียให้กับ แอสตัน วิลล่า ในนัดนี้

- ความหลังท็อปโฟร์ กลับมาชัดเจน

ย้อนกลับไปสักประมาณ 2-3 เดือนก่อน ความหวัง ลิเวอร์พูล จะได้ไปท็อปโฟร์ เหมือนไม่ค่อยมีหนทาง เพราะผลงานพวกเขาสาละวันเตี้ยลง ชนะใครสักคน ช่างยากเย็นเหลือเกิน โดยเคยตกลงมาอยู่กลางตารางเลยด้วยซ้ำ

แต่กระนั้น จากการเก็บชัยชนะ 3 เกมรวด ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 6 ของตาราง ลงแข่ง 15 นัด เก็บไปแล้ว 25 คะแนน ตามหลัง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทีมอันดับ 4 อยู่เพียงแค่ 5 คะแนน อีกทั้ง หงส์แดง ยังแข่งน้อยกว่า 1 นัด

ดังนั้นในช่วง บ็อกซิ่ง เดย์ ยาวไปจนถึงปีใหม่ ลิเวอร์พูล จะต้องเก็บ 3 คะแนนให้ได้ทั้งหมด เพื่อขยับเข้าใกล้ท็อปโฟร์มากกว่านี้ ซึ่งนัดต่อไปพวกเขาจะได้เปิดถิ่นแอนฟิลด์ เจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่คู่แข่งที่ยากมากนัก

ฮาย ฮาวดี้
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline